ถ้าจะให้กล่าวถึงนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จที่สุดของวงการตลาดหุ้นของ Wall Street ต้องนึกถึงบุคคลท่านนี้ Peter Lynch (ปีเตอร์ ลินช์) นักลงทุนสายปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental) และเป็นผู้บริหารกองทุนฟิเดลิตี้ แม็คเจลแลน สามารถสร้างผลตอบแทนได้เฉลี่ยปีละ 29.2 เปอร์เซ็นต์โดยใช้หลักการง่าย ๆ อาศัยสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราในชีวิตประจำวันมาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยวิธีที่ไม่ซับซ้อน คนที่มีความรู้น้อยก็สามารถเข้าใจและสามารถค้นหาหุ้นหลายเด้งได้ นอกจากนั้นยังให้ค่ากับคำว่า “มูลค่าของกิจการ” มากกว่า “ราคาหุ้น” ที่ผันผวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้การลงทุนในแต่ละครั้งต้องใช้เวลานานถึง 1-2 ปี หรือมากกว่านั้นเลยทีเดียว ด้วยการลงทุนในลักษณะง่าย ๆ แบบนี้ทำให้ Peter Lynch เป็นบุคคลหนึ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุดของ Wall Street

เทคนิคการหาหุ้น 10 เด้ง สไตล์ Peter Lynch

(ภาพจาก : http://quotesgram.com/)

สำหรับการลงทุนของ Peter Lynch นักลงทุนจะต้องแยกแยะหุ้นแต่ละประเภทให้ออกก่อน การแยกหุ้นออกเป็นกลุ่ม ๆ จะทำให้นักลงทุนสามารถเข้าใจภาพรวมของแต่ละบริษัทได้ดียิ่งขึ้น ถ้าหากนักลงทุนไม่สามารถแยกแยะหุ้นแต่ละประเภทออกจากกันได้ก็จะทำให้ยากที่จะเข้าใจพฤติกรรมของหุ้นของแต่ละธุรกิจที่บริษัทเหล่านั้นทำอยู่ Peter Lynch ได้แบ่งหุ้นออกเป็น 6 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่

1. หุ้นโตช้า เป็นหุ้นที่อยู่ในบริษัทที่มีอัตราการเจริญเติบโตของยอดขายและ กำไรที่เพิ่มปีหนึ่งประมาณ 5-10% เท่านั้น ซึ่งการเติบโตในระดับนี้ถือว่าค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับบริษัทที่ทำในธุรกิจที่เติบโตเร็ว ทำให้การเลือกหุ้นเติบโตช้าส่วนใหญ่แล้วจะมี PE Ratio อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ (หุ้นถูก) เมื่อเทียบกับหุ้นประเภทอื่น ๆ เป็นเพราะความคาดหวังในผลกำไรที่จะถูกสะท้อนออกมาเป็นราคาหุ้นจากความคาดหวังของนักลงทุนอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ Peter Lynch จึงแนะนำให้ว่าการเลือกหุ้นประเภทนี้ส่วนใหญ่แล้วเราจะดูในเรื่องของ เงินปันผล” เป็นหลัก คุณต้องตรวจสอบดูว่ามีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอหรือไม่ทั้งในช่วงเศรษฐกิจดีและเศรษฐกิจไม่ดี บริษัทโตช้าส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่ค่อนข้างอิ่มตัวและด้วยขนาดกิจการที่ขยายตัวมาอย่างยาวนานทำให้เป็นการขยายกิจการจากฐานที่ค่อนข้างใหญ่เราจึงไม่ค่อยเห็นการเปลี่ยนแปลงมากนัก

2. หุ้นโตเร็ว เป็นหุ้นที่มี การเติบโตของกำไรมากกว่า 20-25% แต่สำหรับหุ้นที่โตเร็วกว่า 25% Peter Lynch ให้ความเห็นว่าบริษัทแบบนี้จะรักษา Performance ในการเติบโตได้ค่อนข้างยาก และถ้ายิ่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างร้อนแรงจะยิ่งเป็นที่ดึงดูดคนให้หันเข้ามาทำธุรกิจประเภทนี้มากขึ้น ส่งผลให้มีการแข่งขันสูง กระทบกับกำไรของบริษัทในอนาคต จนกระทั่งทำให้หุ้นโตเร็วกลายเป็นหุ้นโตช้าในที่สุด แต่ถ้าหุ้นตัวนั้นมีความสามารถในการกีดกันคู่แข่งรายใหม่ไม่ให้เข้ามาในธุรกิจที่ตนเองทำอยู่ได้ หุ้นตัวนั้นจะเป็นหุ้นโตเร็วที่น่าสนใจและสามารถสร้างกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ

3. หุ้นแข็งแกร่ง เป็นหุ้นที่มีความแข็งแกร่งกว่าตลาดในช่วงเวลาที่ตลาดเป็นขาขึ้นก็จะขึ้นได้ไม่มาก ช่วงเวลาที่ตลาดเป็นขาลงราคาก็จะตกลงไม่มากเช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วหุ้นประเภทนี้จะเป็นหุ้นที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่หรือเป็นหุ้น Blue Ship ที่มีโอกาสล้มละลายยาก การเลือกหุ้นกลุ่มนี้จึงมีเป้าหมายไปที่ค่า PE เป็นหลัก ยิ่ง PE มากยิ่งไม่ดีแสดงว่าหุ้นตัวนั้นอาจจะแพงเกินไป ดังนั้นการลงทุนในหุ้นแข็งแกร่งเราควรซื้อหุ้นประเภทนี้ใน PE ที่เหมาะสมด้วยเสมอ นอกจากจะดูผลประกอบการแล้วยังต้องติดตามแผนการดำเนินงานอยู่ห่าง ๆ ด้วยเพื่อติดตามว่าบริษัทจะมีทิศทางการดำเนินงานที่ผิดพลาดหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่ หุ้นแข็งแกร่งส่วนใหญ่ Peter Lynch จะต้องการผลตอบแทนไม่มากเพียงรอบละประมาณ 40-50% เพราะหุ้นเหล่านี้จะขึ้นไปได้ไม่มากอย่างที่ให้เหตุผลไปแล้วข้างต้น

4. หุ้นวัฏจักร จะเป็นหุ้นที่ล้อกับวัฏจักรทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจดีหุ้นประเภทนี้ก็ดี เศรษฐกิจไม่ดีหุ้นประเภทนี้ก็จะแย่ แต่ในทางกลับกันก็จะมีหุ้นบางประเภทที่ตรงกันข้ามกับวัฏจักรทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจดีหุ้นประเภทนี้จะซบเซา แต่ถ้าเศรษฐกิจแย่หุ้นจะกลับมาอยู่ในความน่าสนใจ สิ่งที่จะสามารถสังเกตได้ว่าหุ้นประเภทนี้จะดีหรือไม่ สามารถสังเกตได้จากการเปลี่ยนแปลงสต๊อกสินค้าเมื่อเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของยอดขาย เช่น ในช่วงธุรกิจขาขึ้นการเปลี่ยนแปลงของสินค้าคงคลังยังสามารถระบายสต๊อกออกได้ดีในอัตราที่เร็ว และในช่วงที่เศรษฐกิจฝืดเคืองส่งผลให้กิจการระบายสต๊อกได้ช้าลงจากยอดขายที่ค่อย ๆ ลดลง ส่งผลต่อกำไรของบริษัทซึ่งถูกสะท้อนออกมาในราคาหุ้น Peter Lynch ให้ความเห็นว่าหุ้นวัฏจักรส่วนใหญ่อาจจะต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานถึง 2-3 ปีจึงจะสามารถกลับมามียอดขายที่ดีได้

5. หุ้นฟื้นตัว ลักษณะของหุ้นฟื้นตัว คือ ผลประกอบการของบริษัทมีการขาดทุนติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่สนใจหุ้นเหล่านี้ แต่หลังจากนั้นบริษัทเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทั้ง ทีมบริหาร โครงสร้างกิจการ มีการขายกิจการที่ไม่สามารถทำกำไรได้ออกไป เหลือแต่กิจการคุณภาพจริงๆ ในที่สุดผลประกอบการของกิจการกลับมามีกำไรอีกครั้งหนึ่ง ส่งผลให้ราคาที่ตกต่ำเป็นเวลานานปรับตัวพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในหุ้นประเภทนี้ ดังนั้น การหาหุ้นฟื้นตัวนี้นักลงทุนต้องติดตามแผนการดำเนินงานของกิจการอย่างสม่ำเสมอ และถ้าหากแผนการดำเนินงานเหล่านั้นส่งผลดีต่อกิจการก็อย่ารอช้าที่จะลงทุน หุ้นฟื้นตัวเป็นหนึ่งในหุ้น 10 เด้งของ Peter Lynch เมื่อกิจการกลับมามีกำไรจะส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนจะตัดสินใจลงทุนอย่าลืมดูว่าบริษัทเจ๊งหรือไม่ ถ้าบริษัทเจ๊งจะเหลืออะไรให้แก่ผู้ถือหุ้นบ้าง

6. หุ้นทรัพย์สินมาก หุ้นประเภทนี้ดูจากเปลือกนอกอาจจะดูเหมือนไม่มีอะไรและคนส่วนใหญ่มักจะมองไม่เห็นมูลค่าที่แท้จริงของกิจการส่งผลให้ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง แต่ถ้าดูให้ลึกถึงเนื้อในเราจะพบว่า ยังมีทรัพย์สินอยู่ในบริษัทมากมาย เช่น เงินสด ที่ดิน แบรนด์ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เมื่อนำมาประเมินค่ากลับพบว่ามีมูลค่าสูงมากและสูงกว่าราคาหุ้น Peter Lynch จึงแนะนำวิธีการคัดเลือก คือ ต้องดูก่อนว่าทรัพย์สินมูลค่าเท่าไร แล้วนำมาหักออกจากหนี้ที่มีอยู่ หลังจากนั้นต้องดูต่อไปว่าบริษัทมีแผนจะก่อหนี้เพิ่มหรือไม่ ถ้าทุกอย่างดูดีก็ลงทุนได้เลย

จากหุ้นทั้ง 6 ประเภทที่ทาง TerraBKK ได้รวบรวมมาจากแนวคิดของ Peter Lynch จะเห็นว่าหุ้นแต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน สำหรับหุ้น 10 เด้งก็คงหนีไม่พ้นพวก หุ้นโตเร็ว หุ้นฟื้นตัว หุ้นทรัพย์สินมาก และสุดท้าย หุ้นวัฏจักร แต่หุ้นวัฏจักรนักลงทุนต้องมีความเชี่ยวชาญในการมองวัฏจักรจริง ๆ ถึงจะมองภาวะของธุรกิจนั้นได้อย่างถูกต้อง และในที่สุดหุ้นทุกตัวทุกบริษัทต่างก็มีเคลื่อนไหวตามมูลค่าของกิจการที่แท้จริง ดังนั้นถ้าอยากเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่าง Peter Lynch อย่าลืมดูมูลค่าที่แท้จริงของกิจการก่อนเสมอ เปรียบเสมือนกับท่านเป็นเจ้าของบริษัทนั้น ๆ และรอวันที่ราคาหุ้นจะสะท้อนมูลค่าของกิจการที่แท้จริงออกมา - เทอร์ร่า บีเคเค

บทความโดย : TerraBKK คลังความรู้ TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก