เพราะก่อนเข้าสู่สนามของการทำงาน ไม่ได้มีติวเตอร์ หรือ หนังสือเก็งข้อสอบไว้เตรียมความพร้อมเหมือนสมัยเรียน ใครหวังได้งานดี ได้ทำงานในฝัน ต้องเตรียมพร้อมกรูมมิ่งตัวเองให้ครบเครื่อง เพื่อให้ได้รับเลือกให้ได้ตั๋วเข้าไปนั่งทำงานในองค์กรในฝัน ทำงานที่ใช่ สำหรับใครที่ยังหลงทาง ไม่รู้จะทำอย่างไรให้ตัวเองเป็นคนที่ใช่กับบริษัทที่หมายปองซักที ลองไปพัฒนาอัพเกรดตัวเองให้มี 5 ทักษะดังต่อไปนี้ รับรองไม่ผิดหวัง เพราะมีผลการศึกษาของ Linkedin ซึ่งได้ทำการสำรวจความคิดเห็นผู้จัดการแผนกสรรหาบุคคลในสหรัฐอเมริกากว่า 300 คนมาแล้วว่า ทักษะไหนเป็น Must Have ที่ลูกจ้างรุ่นใหม่ต้องมี

         1.ทักษะในการสื่อสาร : ในยุคที่โลกแห่งการสื่อสารไร้พรมแดน ถ้าไม่นับวุฒิการศึกษาว่าเป็นหัวใจสำคัญในการสมัครงานเป็นอันดับแรกอย่างไม่ต้องสงสัย ทักษะที่สำคัญที่สุดเพื่อพิชิตงาน ก็หนีไม่พ้น ทักษะการสื่อสารที่ดี เพราะหากคุณสื่อสารได้ดี ตั้งแต่ตอนสัมภาษณ์ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว เพราะการสื่อสารที่ดีช่วยให้คุณสามารถสะท้อนไอเดียโดนๆ ตลอดจนแนวทางในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ออกมามัดใจผู้สัมภาษณ์ได้อย่างไม่ต้องสงสัย แถมยังสร้างความมั่นใจได้ว่า เมื่อคุณเข้ามาทำงานจะใช้ทักษะนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงานให้บรรลุผล ไม่ว่าจะต้องติดต่อประสานงานกับเพื่อนร่วงาน บอสหรือ ลูกค้าก็ตาม    

         

พอล เจ เมเยอร์ นักเขียนและนักพูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เคยนิยามถึง “การสื่อสาร” ไว้ว่าเป็นกุญแจไปสู่ความสำเร็จทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำงาน แน่นอนว่า หากคุณเรียนรู้ที่จะพัฒนาให้ตัวเองสามารถสื่อสารไอเดียที่อัดแน่นอยู่ในหัวออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณย่อมมีโอกาสที่จะพบกับความสำเร็จมากขึ้น

         2.ทำงานอย่างเป็นระบบ : แต่ละคนอาจมีวิธีการบริหารจัดการภารกิจหน้าที่ของตัวเองแตกต่างกัน ไม่สำคัญหรอกว่าวิธีการจะเป็นอย่างไร หากสุดท้ายแล้วผลของงานต้องออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ และ ลุล่วงได้ตรงเวลา นายจ้างมักมองหาลูกจ้างที่สามารถรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายได้เป็นอย่างดี แม้ว่าต้องรับงานหลายอย่างในเวลาเดียวกันก็ตาม เขาก็ต้องมีวิธีบริหารจัดการ เพื่อจัดระบบให้งานนั้นออกมาสำเร็จลุล่วงและฉับไว

         3.ทำงานเป็นทีมเวิร์คได้ดี : หลายบริษัทชั้นนำมักเลือกที่จะร่วมงานกับลูกจ้างที่เห็นคุณค่ากับการทำงานเป็นทีมเวิร์ก เพราะพวกเขารู้ดีว่า ไม่ว่าจะทำงานเล็กหรือใหญ่ ต้องอาศัยการทำงานร่วมกับคนอื่น นั่นหมายความว่าหากคุณไร้ซึ่งคุณสมบัติที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี การแชร์ไอเดีย การร่วมมือร่วมใจกันเพื่อไปสู่เป้าหมาย ย่อมเกิดขึ้นได้ยาก คนที่มีปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่น มักเป็นต้นเหตุของสารพัดปัญหาที่จะนำไปสู่บรรยากาศการทำงานที่ไม่ราบรื่น และอาจเป็นต้นเหตุให้บริษัทต้องสูญเสียพนักงานที่ดีๆ ขององค์กรไปอย่างน่าเสียดายด้วย

         อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่า ในยุคที่ดิจิตอลเข้ามาย่อโลกใบเดิมให้เล็กลง รูปแบบการทำงานเป็นทีมเวิร์กที่หลายคนคุ้นเคยอาจเปลี่ยนไป การทำงานเป็นทีมอาจไม่ได้หมายถึงการนั่งสุมหัว ประชุมกันแบบ Face to face อีกต่อไป แต่อาจเป็นการรวมกลุ่มระดมไอเดียโดยมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นศูนย์กลาง เช่น ระบบ cloud เป็นต้น

         4.ตรงต่อเวลา : อย่างน้อยคุณสมบัติข้อนี้ก็ช่วยให้นายจ้างมั่นใจได้ว่า รับคุณเข้ามาทำงานแล้วคุณจะสามารถทำโปรเจ็คต์ที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงตามเงื่อนเวลาที่วางไว้ สำหรับใครที่ยังแย้งในใจหรือ คิดว่า การตรงต่อเวลาไม่ใช่คุณสมบัติที่สำคัญอะไรมากมาย เปรียบเทียบให้เห็นภาพตามง่ายๆว่า หากเวลามีค่าเท่ากับรายได้ของบริษัท เมื่อไหร่ที่คุณกลายเป็นคนไม่ตรงต่อเวลา นั่นหมายความว่า คุณกำลังปล่อยให้รายได้ของบริษัทรั่วออกไปทีละนิดๆ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่บริษัทอยากเห็นแน่นอน

         5.มีกระบวนการคิดเชิงวิพากษ์ : อ่านหัวข้อแล้วอย่าเพิ่งตกใจว่าการคิดเชิงวิพากษ์คืออะไร อธิบายง่ายๆ คือ กระบวนการคิดที่ต้องมองไปให้ไกลมากกว่าแค่ข้อมูลพื้นฐานที่อยู่ตรงหน้า คิดและวิเคราะห์ โดยไม่เอาอารมณ์เข้ามาเป็นตัวตั้ง ไม่ตัดสินใจตามสัญชาตญาณหรือติดอยู่ในกรอบ แต่เลือกที่จะใช้การค้นคว้าหาข้อมูล เพื่อให้ได้ไอเดียหรือทางออกของปัญหาที่ดีที่สุด ที่สำคัญมีข้อมารองรับในทุกการตัดสินใจ

ขอบคุณที่มา http://climb.pcc.edu/blog, https://www.topresume.com

บทความโดย : TerraBKK เคล็ดลับการลงทุน

TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก