กลุ่มเซ็นทรัลจับมือ เจดีดอทคอม ร่วมลงทุน 17,500 ล้านบาท เขย่าวงการค้าปลีกโลก

พัฒนาดิจิตอล อีโคซิสเต็ม ครบวงจรเป็นครั้งแรก ภายใต้ชื่อ เจดี เซ็นทรัล  

พลิกโฉมออนไลน์ช้อปปิ้งประเทศไทย ให้เป็นศูนย์กลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

  กลุ่มเซ็นทรัล ผู้นำธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทย ประกาศการร่วมทุนครั้งใหญ่กับ JD.com ยักษ์ใหญ่ค้าปลีก-อีคอมเมิร์ซจากประเทศจีน และผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซอันดับสามของโลก มุ่งสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งออนไลน์ที่แตกต่างให้กับลูกค้าชาวไทย และเกิดเป็นดิจิตอล อีโคซิสเต็ม (Digital Ecosystem) ครบวงจร ผ่านแพลตฟอร์มใหม่ในชื่อ JD.co.th

ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า “อีกหนึ่งก้าวสำคัญของธุรกิจในโอกาสครบรอบ 70 ปี กลุ่มเซ็นทรัล ผู้นำธุรกิจค้าปลีกในไทย เวียดนาม และทวีปยุโรป ตอกย้ำยุทธศาสตร์ดิจิตอล เซ็นทราลิตี้ (Digital Centrality) ด้วยการผนึกกำลัง ร่วมทุน 17,500 ล้านบาท กับบริษัท JD.com ผู้นำเทคโนโลยี ด้านอีคอมเมิร์ซ, โลจิสติกส์, ฟินเทค รวมถึงการใช้บิ๊กดาต้าและ AI เพื่อสร้างอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มใหม่ในชื่อ JD.co.th ภายใต้เทรดมาร์ก เจดี เซ็นทรัล(JD Central) ที่จะมีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2561 มุ่งหวังให้เป็นดิจิตอล อีโคซิสเต็มครบวงจรครั้งแรก ควบคู่ไปกับการพัฒนาธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัลให้เป็นออมนิแชแนล (Omnichannel) ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งจะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุค 4.0 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ รวมทั้งส่งเสริมให้กลุ่ม  เซ็นทรัลสามารถเติบโตก้าวกระโดด และมียอดขายในธุรกิจออนไลน์ของทั้งกลุ่มมากกว่า 15% ภายใน 5 ปี

การร่วมมือกันในครั้งนี้ ไม่เพียงสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งไร้รอยต่อให้กับลูกค้า (Seamless Shopping experience) แต่ยังสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของภาครัฐ ที่เน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เท่าทันโลกดิจิตอล, เพิ่มอัตราการจ้างงาน และส่งเสริมการส่งออกของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) รวมไปถึงการมีส่วนช่วยพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วยการจัดตั้งสำนักงานใหญ่เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านดิจิตอลแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

ริชาร์ด หลิว ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท JD.com กล่าวว่า “ประเทศไทยมีประชากรจำนวนมาก ประกอบกับมีโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และการให้บริการทางอินเตอร์เน็ตที่ครอบคลุมทั่วถึง ซึ่งเอื้อต่อการพัฒนาบริการด้านอีคอมเมิร์ซ และฟินเทคเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้การได้ร่วมงานกับกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกครบวงจรของประเทศไทย ทำให้เราเข้าใจลูกค้า และสามารถวางกลยุทธ์เพื่อตอบโจทย์ตลาดไทยได้ อันจะเป็นการเสริมศักยภาพให้เจดี 
เซ็นทรัลสามารถมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า, เกื้อหนุนธุรกิจ SMEs ให้เติบโต, เพิ่มอัตราการส่งออกสินค้าไทย และพัฒนาจนกลายเป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

ญนน์ โภคทรัพย์ President of Central Group เผยว่า “ปรากฎการณ์การร่วมทุนของ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งเอเชียในครั้งนี้ จะช่วยส่งเสริมให้กลุ่มเซ็นทรัลก้าวสู่การเป็นผู้นำโลกดิจิตอลยุค 4.0 อย่างเต็มรูปแบบ และเร่งให้ยุทธศาสตร์ดิจิตอล เซ็นทราลิตี้ ของกลุ่มเซ็นทรัล เกิดขึ้นจริง ผ่านดิจิตอล อีโคซิสเต็ม ที่ครบวงจร และแข็งแกร่งใน 4 ด้านสำคัญ ได้แก่

  1. อีคอมเมิร์ซ (E-commerce) รวบรวมหลากหลายร้านค้า แฟลกชิพสโตร์ของกลุ่มเซ็นทรัล และสินค้าคุณภาพนานาชนิด ทั้งของไทย และต่างชาติ รวมถึงสินค้า SME ในราคาที่เป็นธรรม พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ บนเว็บไซต์ที่ใช้ง่าย เหมาะกับลูกค้าทั่วโลกทุกเพศวัย (User-friendly)
  2. อีโลจิสติกส์ (E-logistic) พลิกโฉมการขนส่งสินค้าแบบเดิมๆ ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยที่จะทำให้การขนส่งรวดเร็วแม่นยำยิ่งขึ้น เช่น การใช้โดรน, ออโต้คาร์ ฯลฯ พร้อมระบบการจัดการห่วงโซ่อุปสงค์ และอุปทาน และคลังสินค้าที่ทันสมัย
  3. อีไฟแนนซ์ (E-finance) พัฒนาบริการฟินเทค อำนวยความสะดวกด้านไฟแนนซ์ให้กับลูกค้า และซัพพลายเออร์ มุ่งสร้าง ‘อีวอลเล็ท’ (E-wallet) และบริการทางการเงินออนไลน์อื่นๆ ที่ใช้งานง่าย เตรียมพร้อมเข้าสู่ Cashless society ในอนาคต
  4. เทคโนโลยี และข้อมูล (Technology and data) ระดมเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาเสริมการพัฒนาธุรกิจทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบวิเคราะห์ฐานข้อมูลขนาดใหญ่, เทคโนโลยีคลาวน์, AI, แชตบอต เพื่อใช้ในการปรับปรุงเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ และบริการฟินเทคให้ตอบโจทย์ลูกค้า รวมถึงการใช้เทคโนโลยีโดรน ออโต้คาร์ และระบบโรโบติก ออโตเมต ในการจัดการคลังสินค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ และการขนส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภค

ดิจิตอล อีโคซิสเต็มรูปแบบใหม่นี้ ไม่เพียงเปิดกว้างให้ลูกค้าทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้บริการ แต่ยังช่วยต่อยอดโครงการสินค้าชุมชนของกลุ่มเซ็นทรัล พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทย มากกว่า 10,000 ราย รวมถึงสินค้า OTOP และสินค้าจากเกษตรกรท้องถิ่น เติบโตและประสบความสำเร็จไปพร้อมๆ กับเรา เพิ่มการส่งออกสินค้าคุณภาพสู่ตลาดสากล และสามารถขยายตลาดให้ครอบคลุมลูกค้าทั้งใน และต่างประเทศ โดยสินค้าทั้งหมดที่ปรากฎบนหน้าเว็บ JD.co.th ก็จะปรากฎบนหน้าเว็บ JD.com ในประเทศจีนด้วย คาดว่ามูลค่าส่งออกสินค้าไทยไปประเทศจีนจะไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้าน ภายใน 2 ปี”

ขอบคุณข้อมูลจาก centralgroup.com