เวลาเห็นใครประสบความสำเร็จ หรือ ได้ไปยืนอยู่ท่ามกลางสปอร์ตไลท์ที่ใครๆต่างชื่นชม เรามักยกย่องว่า เขา/เธอ ต้องมีสติปัญญาเป็นสมบัติ มีความสามารถเป็นอาวุธ น้อยครั้งนักที่เราจะหันกลับมาชื่นชมว่า มาจากทัศนคติในการใช้ชีวิตที่ดี ทั้งที่ คารอล ดเว็ค นักจิตวิทยามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา พบความลับอันน่ามหัศจรรย์แล้วว่า ทัศนคติของคนเราเป็นปัจจัยบ่งบอกถึงความสำเร็จของคนๆหนึ่งได้ดีกว่าไอคิวเสียอีก  

         ก่อนที่จะมีเวลาได้ตั้งคำถามกลับว่า “ทำไม?” นักจิตวิทยาคนเก่งได้ไขข้องใจด้วยคำอธิบายอย่างชัดแจ้งว่า ธรรมชาติของมนุษย์ มีทัศนคติหลัก 2 แบบ แบบแรกเรียกว่า Fixed Mindset หมายถึง คนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง รู้ว่าตัวเองเป็นใคร และไม่คิดว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งจุดนี้เองคือปัญหาสำคัญ เพราะเมื่อคนที่มีทัศนคติเช่นนี้เผชิญหน้ากับความท้าทายที่เกินกว่าจะสามารถรับมือ เขาจะรู้สึกหมดแรงและสิ้นหวัง

         ขณะที่ัคนที่มีทัศนคติที่เรียกว่า Growth Mindset เขาจะมีความเชื่อว่าตัวเองสามารถพัฒนาความสามารถด้านต่างๆได้ ด้วยความพยายาม ซึ่งหัวใจที่มุ่งมั่นนี้เองทำให้พวกเขาสามารถทำผลงานออกมาได้ดีกว่าคนที่มีทัศนคติแบบแรกอย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะมีไอคิวต่ำกว่าก็ตาม นั่นเพราะ พวกเขากล้าที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทาย ซึ่งเปรียบเหมือนประตูแห่งโอกาสที่จะพาพวกเขาไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

        อย่างไรก็ตาม ใครที่ได้คำตอบในใจแล้วว่า ตัวเองเป็นแบบไหน ยังไม่ต้องเฉลย สำหรับใครที่เข้าข่ายแบบหลังขอแสดงความยินดีด้วยและขอให้พัฒนาทัศนคติดีๆนี้ต่อไป แต่ใครที่เป็นสมาชิกของทัศนคติแบบ Fixed Mindset ไม่ต้องใจเสีย เพราะคารอลมีวิธีเปลี่ยนทัศนคติที่ขัดขวางความสำเร็จให้เป็นทัศนคติที่จะพาคุณไปสู่ความสำเร็จมาให้ทำตาม

        1.อย่าอยู่แบบคนขี้แพ้ ไม่มีใครไม่เคยลิ้มรสความผิดหวังและล้มเหลว แต่สิ่งที่ทำให้คนเราแตกต่างกันคือ วิธีรับมือและก้าวผ่านความล้มเหลวนั้น มีตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จมากมายที่ไม่มีวันมาถึงจุดที่คนทั้งโลกให้การยอมรับได้ หากพวกเขายอมแพ้ให้กับความสิ้นหวัง      

เชื่อหรือไม่ว่า...

ครั้งหนึ่ง วอลเตอร์ อีเลียส ดิสนีย์ ผู้ก่อตั้งบริษัท Walt Disney ถูกไล่ออกจากหนังสือพิมพ์ Kansas City Star ด้วยเหตุผลว่า “ขาดจินตนาการและความคิดที่สร้างสรรค์” ...โอปราห์ วินฟรีย์ พิธีกรรายการทอล์กโชว์ที่โด่งดังที่สุดในสหรัฐฯ เคยถูกไล่ออกจากการเป็นผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์ในบัลติมอร์ ด้วยเหตุผลที่ว่า “ใช้อารมณ์และใส่ความรู้สึกมากจนเกินไป” ...สตีเวน สปีลเบิร์ก' พ่อมดแห่งฮอลลีวู๊ด ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเรียนในสาขาภาพยนตร์ที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนียหลายต่อหลายครั้ง

         2.ตามหาแพชชั่นให้เจอ แพชชั่นหรือนิยามง่ายๆว่า ความหลงใหลในสิ่งที่ทำ มีอานุภาพให้คุณประสบความสำเร็จได้อย่างไม่น่าเชื่อ จริงอยู่ที่บนโลกนี้มีคนที่มีพรสวรรค์เหนือคุณมากมาย แต่สิ่งที่จะทำให้คุณไม่ต้องเป็นไก่รองบ่อนคนเหล่านั้นคือ แพชชั่น ครั้งหนึ่งวาเรน บัฟเฟต์ หนึ่งในมหาเศรษฐีของโลก เคยแนะนำเทคนิคในการตามหาแพชชั่นที่เรียกว่า 5/25 ไว้อย่างน่าสนใจ แค่เขียนสิ่งที่คุณคิดว่าสำคัญกับชีวิต 25 อย่างออกมา จากนั้นตัดออกไป 20 อย่าง ให้เหลือเพียง 5 อย่าง นั่นแหละคือสิ่งที่คุณมีแพชชั่นกับมันอย่างแท้จริง ส่วนที่เหลือเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของคุณได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

        3.ลงมือปฏิบัติ สิ่งที่ทำให้คนที่มีทัศนคติแบบ Growth Mindset เอาชนะอุปสรรคและความกลัวได้ไม่ใช่เพราะเขามีความกล้ามากกว่าใครๆ แต่เพราะพวกเขารู้ว่าการจะเอาชนะความกลัวและความกังวลได้ ต้องอาศัยการลงมือแก้ไขปัญหาเท่านั้น

        4.อย่าจำกัดกรอบให้ตัวเอง ต่อให้ต้องเจอวันที่เลวร้าย แต่คนที่มีทัศนคติแบบ Growth Mindset ก็ยังพร้อมพาตัวเองก้าวไปข้างหน้าไปให้ไกลกว่าจุดที่เคยอยู่ บรูซ ลี เคยสั่งให้ลูกศิษย์ของเขาซึ่งเคยวิ่ง 3 ไมล์ทุกวัน วิ่งมากขึ้นเป็น 2 เท่า ตอนนั้นลูกศิษย์ของเขาทั้งเหนื่อยและหมดแรง จึงตอบกลับไปว่า “ถ้าทำอย่างนั้น ผมคงตายอยู่ตรงนี้” แต่บรูซหาได้เห็นใจ เขายังยืนกรานคำสั่งเดิม ถึงจะโกรธแต่ลูกศิษย์ก็จำใจวิ่งจนครบ ก่อนที่อาจารย์จะเฉลยถึงบทเรียนที่ต้องการสอนลูกศิษย์คือ หากคุณสร้างข้อจำกัดให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือความคิด มันจะแพร่กระจายไปยังเรื่องอื่นๆ ในชีวิตของคุณทั้งหมด ความจริงแล้วมนุษย์เราไม่มีข้อจำกัด แต่เราสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาเอง  ถ้าคนเราไม่สามารถทำให้ตัวเองดีขึ้นทีละนิดในทุกวัน นั่นหมายความว่าเรากำลังแย่ลงไปเรื่อยๆ

        5.อย่าบ่นเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่หวัง การบ่น เป็นคุณสมบัติเด่นของคนที่มีทัศนคติแบบ Fixed Mindset ซึ่งตรงกันข้ามกับคนที่มีทัศนคติแบบ Growth Mindset ที่มักมองทุกอย่างเป็นโอกาสจนไม่เหลือช่องว่างให้บ่นเวลาพบกับปัญหา

ขอบคุณที่มา : www.forbes.com