ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ต้องการขอสินเชื่อจำนวนมากแต่มีฐานเงินเดือนน้อย คือ การกู้ร่วม ซึ่งจะเป็นการหาผู้อื่นมาเสริมรายได้และความรับผิดชอบต่อหนี้ ซึ่งสถาบันการเงินมักกำหนดให้บุคคลที่มีชื่อกู้ร่วม เป็นคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้กู้ ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก การกู้ร่วม ส่วนใหญ่แล้วหากเป็นพ่อแม่กู้ร่วมกับลูก จะไม่ค่อยมีปัญหา แต่ปัญหามักเกิดในกรณีที่เป็นบุคคลอื่นกู้ร่วมกัน เช่นพี่น้อง สามีภรรยาที่ภายหลังเลิกรากัน หรือในกรณีอื่นๆ ตามแต่เงื่อนไขที่ทางธนาคารกำหนด

การหาทางถอนชื่อผู้กู้ร่วมออก จึงเป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยๆ แต่เมื่อยื่นเรื่องติดต่อไปที่สถาบันการเงินมักได้รับการปฏิเสธ เพราะในการยื่นขอสินเชื่อ ทางสถาบันการเงินได้ประเมินความสามารถในการผ่อนชำระจากฐานรายได้ของสองคน หากขาดคนใดคนหนึ่งก็ก็เท่ากับว่าผิดจากเงื่อนไขที่ได้ตกลงกันไว้ในตอนแรก

แม้การถอนชื่อผู้กู้ร่วมจะไม่สามารถทำได้ แต่ใช่ว่าจะไม่มีทางออกเสียทีเดียว ทางออกสำหรับปัญหานี้คือการรีไฟแนนซ์ไปธนาคารอื่น ซึ่งTerraBKK เคยกล่าวถึงการรีไฟแนนซ์ ว่าเป็นการเปลี่ยนเจ้าหนี้เมื่อมีข้อเสนอที่ดีกว่า ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก ลดภาระหนี้ด้วยการ Refinance ซึ่งในกรณีนี้ก็ถือเป็นข้อเสนอที่ดีกว่าเช่นกัน

ขั้นตอนการรีไฟแนนซ์เพื่อเปลี่ยนชื่อผู้กู้ร่วมก็จะเหมือนการรีไฟแนนซ์ปกติทั่วไป ทางธนาคารใหม่ที่ยื่นขอสินเชื่อจะพิจารณาจากวงเงินที่ขอว่าผู้กู้มีความสามารถในการผ่อนชำระทั้งหมดหรือไม่ หากประเมินแล้วผู้ขอรีไฟแนนซ์มีความสามารถในการผ่อนชำระ ทางธนาคารก็จะอนุมัติสินเชื่อ แต่ถ้าเป็นไปในทางตรงข้าม ธนาคารจะให้หาผู้กู้ร่วมใหม่ และดำเนินการรีไฟแนนซ์ต่อไป

สิ่งที่ผู้กู้ต้องทำต่อไปก็คือ นำผู้กู้ร่วมไปที่กรมที่ดินเพื่อดำเนินการต่างๆ 3 ขั้นตอน ดังนี้

  1. ไถ่ถอนจำนองจากธนาคารเดิม
  2. ทำเรื่องซื้อขายระหว่างกัน (มีค่าธรรมเนียมประมาณ 5% ของราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง)
  3. ทำการจดจำนองกับธนาคารใหม่ (มีค่าธรรมเนียม 1% ของเงินที่ขอกู้ธนาคาร)

ซึ่งทั้ง 3 ขั้นตอนสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ภายในครั้งเดียว

หลังจากนั้นลูกหนี้ก็จะมีเพียงคนเดียวหรืออาจจะมีผู้กู้ร่วมผู้อื่นแทนคนเดิม ในกรณีที่รีไฟแนนซ์เพื่อเป็นผู้กู้เพียงผู้เดียวนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือความสามารถในการผ่อนชำระต่อวงเงินที่ยื่นขอจากธนาคารใหม่

การกู้ร่วมมีจุดประสงค์เพื่อเสริมเครดิตและความน่าเชื่อถือแต่แรก หากประเมินตนเองและยอดหนี้ที่เหลือแล้วพบว่าไม่สามารถรับหนี้ไหว ก็ไม่ควรดำเนินการรีไฟแนนซ์ เพราะสุดท้ายก็ไม่สามารถขอสินเชื่อได้ เท่ากับเสียเวลาเปล่าอยู่ดี