5 ปีย้อนหลัง ผลประกอบการ TOP15 กลุ่ม "พัฒนาอสังหาริมทรัพย์" ไตรมาส 3/2558
TerraBKK Research ได้รวบรวม 15 สุดยอดบริษัท "พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Property Development)" เพื่อการอยู่อาศัย (ไม่ทำนับรวมบริษัททำ Office, Retail, หรือมีรายได้จากส่วนอื่นๆมากเกินไป) ที่สามารถทำรายได้สูงที่สุด 15 อันดับแรก หลังจากผ่านมาแล้ว 9 เดือนของปี 2558 เพื่อนำ 15 บริษัทเหล่านี้มาเปรียบเทียบเพื่อค้นหาศักยภาพของกิจการที่มีแนวโน้มการ เจริญเติบโตที่ดีที่สุดผ่านการวิเคราะห์ งบการเงินและอัตราส่วนทางการเงินสำคัญต่างๆ หลังจากที่หลายบริษัทได้ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ประจำปี 2558 ครบทุกบริษัทแล้ว
จากการสำรวจผลประกอบการในช่วง 9 เดือนของปี 2558 TerraBKK Research พบว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีรายได้เพิ่มสูงขึ้น ความสามารถในการทำไรเริ่มลดลงหลายบริษัท ส่วนบริษัทที่สร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น ได้แก่ LPN และ Supalai ส่วนบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตเพิมสูงขึ้น คือ บริษัท SC Asset มีรายละเอียดที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
รายได้ (Revenue) สำหรับรายได้ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ปี 2558 จะพบว่า เกือบทุกบริษัทต่างก็ผลัดกันทุบสถิติรายได้ของตัวเองที่เคยทำไว้ในอดีต เนื่องจากรายได้ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เริ่มทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ค่อนข้างมากจากคอนโดมิเนียมที่ได้ทำการขายไปเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาแล้วเริ่มโอนกันในปีนี้ ส่งผลให้ภาพรวมรายได้ทำลายสถิติปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง เมื่อเราดูรายได้ในรายบริษัทเราจะพบว่า บริษัท พฤกษา (Pruksa) สามารถทำรายได้สูงที่สุดของกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัยสูงถึง 33,881 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 10.94% และเป็นบริษัทเดียวใน TOP15 ที่สามารถสร้างรายได้ให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง อันดับที่สองคือ Sansiri รายได้เท่ากับ 28,081 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 47.45% เมื่อเราดูเฉพาะบริษัทที่มีการเติบโตของรายได้มากที่สุด คือ บริษัท PACE (+3376%), Areeya (+151%) และ LPN (+57%)
อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) บริษัทที่มีอัตรากำไรขั้นต้นมากที่สุด คือ PACE มีอัตรากำไรขั้นต้น เท่ากับ 47.01 รองลงมา คือ Ananda 40.05% และ Raimon Land 39.35% จากการสังเกตหลายบริษัทมีแนวโน้มของอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง แต่บริษัท Ananda และ Major กลับมาอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นจากปีก่อนหน้า ส่วนบริษัทที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำที่สุด คือ Areeya Property และยังมีการลดลงของอัตรากำไรขั้นต้นมากที่สุดด้วย และเมื่อดูอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) พบว่า Land and Houses, Supalai, Raimon Land มีอัตรากำไรสุทธิสูงที่สุด เท่ากับ 23.07%, 19.3% และ 16.84% ตามลำดับ บริษัทที่มีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 ปี ได้แก่ AP, SC Asset, Property Perfect และ Areeya
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset) จะเป็นตัวที่แสดงถึงประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากรภายในองค์กรเพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่กิจการว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยขนาดไหน บริษัทที่มีอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์มากที่สุด คือบริษัท LPN 18.79%, Supalai 15.42% และ Pruksa 13.68% แต่ Pruksa และ Supalai มีประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ลดลง นอกจาก 3 บริษัทนี้แล้วบริษัทที่มี ROA มากกว่า 10% ได้แก่ Land and Houses, Raimon Land และ AP สำหรับ Major เป็นบริษัทเดียวที่มี Return on Asset เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 ปีแล้วแต่ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำเพียง 5.61% อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity) เมื่อเราดูข้อมูลผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้นพบว่า LPN , Supalai, Pruksa, Raimon Land, Land and Houses, AP และ MJD เป็นบริษัทที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นได้มากกว่า 15% โดยบริษัทขนาดใหญ่อย่าง LPN Supalai Pruksa นำมาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วน Property Perfect และ Major Development มีแนวโน้ม ROE เพิ่มขึ้นโดยตลอด
กำไรต่อหุ้น (Earning per Share) การเติบโตของกำไรต่อหุ้นจะเป็นตัวบอกถึงความสามารถในการทำกำไรของ บริษัท ว่าบริษัทสามารถสร้างกำไรส่วนเพิ่มให้แก่นักลงทุนต่อหนึ่งหน่วยลงทุนได้ดี มากน้อยขนาดไหนและเมื่อเราดูแนวโน้มอัตรากำไรต่อหุ้นประกอบทำให้เราสามารถ เลือกบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตได้ดีมากขึ้น สำหรับกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บริษัทที่มีกำไรต่อหุ้นเติบโต ได้แก่ Areeya (+566.67%), LPN (+65.52%), MK (+9.37%), SC Asset (+4%) และ Supalai (+1.81%) สำหรับ Supalai และ SC Asset มีการเติบโตของกำไรต่อเนื่องมากกว่า 3 ปี ส่วน Pruksa ถึงแม้ยอดรายได้จะทำ New High แต่ EPS ดูเหมือนจะอิ่มตัว
อัตราหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity) สัดส่วนของหนี้สินต่อทุนที่อยู่ในระดับปกติไม่ควรมีหนี้สินต่อส่วนของทุนมากกว่า 2 เท่าและถ้าจะให้ดีควรจะน้อยกว่า 1 เท่า บริษัทที่มีหนี้สินต่อทุนมากกว่า 2 เท่า ได้แก่ Property Perfect, Areeya, Major Development, PACE โดยทั้ง Areeya และ PACE ต่างมีแนวโน้มการก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้น แสดงถึง วินัยทางการเงินที่ไม่ค่อยดีเท่าไร ส่วนบริษัทที่มีการบริหารเงินที่ดีคือ Pruksa LPN และ MK มีหนี้สินต่อทุนต่ำมาก วินัยทางการเงินแข็งแกร่ง
อัตรากำไรสุทธิ จะแสดงถึง ความสามารถในการทำกำไรสุทธิของบริษัท เป็นการวัดความสามารถของบริษัทในการควบคุมรายจ่ายทุกประการทั้งดอกเบี้ยและภาษีเมื่อเทียบกับยอดขาย หากอัตราส่วนนี้มีค่าสูงแสดงว่าบริษัทสามารถเปลี่ยนยอดขายให้เป็นกำไรสุทธิได้มาก
อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) แสดงถึง สัดส่วนของเงินทุนจากการกู้ยืมต่อเงินทุนจากเจ้าของธุรกิจถ้าอัตราส่วนนี้สูงแสดงว่าบริษัทมีการกู้ยืมเงินในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินทุนจากผู้ถือหุ้นของบริษัท ทำให้มีความเสี่ยงในลักษณะเดียวกับอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์
อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset:ROA) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมของบริษัท เป็นการวัดความสามารถในการนำสินทรัพย์ทั้งหมดของธุรกิจใช่ในการสร้างยอดขายและควบคุมค่าใช่จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมดสุทธิจากภาษีแต่ก่อนต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิจากภาษีที่ประหยัดได้) อัตราส่วนที่สูงแสดงว่าบริษัทมีความสามารถสูงในการนำสินทรัพย์ไปสร้างกำไรจากการดำเนินงาน
อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรให้แก่เงินทุนของผู้ถือหุ้น หากค่าที่ได้จากการคำนวณสูงแสดงว่าผู้ถือหุ้นมีโอกาสได้รับเงินปันผลและผลตอบแทนที่สูง
บทความโดย : TerraBKK คลังความรู็ แหล่งข้อมูล : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก