5 ปีย้อนหลัง ผลประกอบการ กลุ่ม "รับเหมาก่อสร้าง" ไตรมาส 3/2558
TerraBKK Research ได้รวบรวมข้อมูลกลุ่ม "รับเหมาก่อสร้าง (Construction Services)" ที่ได้ทำการเปิดเผยข้อมูลงบการเงินในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีด้วยกัน 19 บริษัท โดยทาง TerraBKK Reseacrh ได้ทำการอัพเดทผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปี ประจำไตรมาส 3/2558 หลังจากมีการดำเนินงานผ่านมาแล้ว 9 เดือนของปี 2558 โดยเราได้รวบรวมเฉพาะบริษัทที่อยู่ใน SET ไม่ได้หยิบบริษัทใน MAI มาพูดถึง การรวบรวมบริษัททั้งหมดในอุตสาหกรรมเดียวกันจะให้เราสามารถค้นหาศักยภาพของกิจการที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโตที่ดีที่สุดผ่านการวิเคราะห์งบการเงินและอัตราส่วนทางการเงินสำคัญต่างๆ บริษัทรับเหมาก่อสร้างบริษัทใดบ้างที่น่าสนใจ ติดตามได้ดังต่อไปนี้
จากการสำรวจภาพรวมของกลุ่ม “รับเหมาก่อสร้าง” พบว่า บริษัทที่มีแนวโน้มของการเติบโตได้ค่อนข้างดีคือ บริษัท SYNTEC มีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างดีและน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ ทั้งผลตอบแทนจากส่วนของผู้หุ้น อัตรากำไรต่อหุ้นที่เติบโตต่อเนื่อง อัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับปกติ รายได้และกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง ในอนาคตจะเป็นอย่างไรต้องติดตามกันต่อไป
รายได้ (Revenue) ในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างบริษัทที่มีรายได้มากที่สุดคือ บริษัท ITALIAN-THAI มีรายได้เท่ากับ 37,795 ล้านบาท มีการเพิ่มขึ้นของรายได้ 4.20% จากปีก่อนหน้า โดยการเพิ่มขึ้นของรายได้ของ ITALIAN-THAI เป็นการเพิ่มขึ้นกว่า 3 ปีติดต่อกัน รองลงมาคือ CH. KARNCHANG มีรายได้เพิ่มขึ้น 5.60% สำหรับบริษัทที่มีแนวโน้มของรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกัน ได้แก่ ITALIAN-THAI, TOYO-THAI, STP&I, UNIQUE, NAWARAT PATANAKARN, SYNTEC และTRC CONSTRUCTION ถ้าจัดอันดับบริษัทที่มีการเพิ่มขึ้นของ TRC CONSTRUCTION (+18.05%), BJC HEAVY INDUSTRIES (+17.65%), STP&I (+11.01%) และ UNIQUE (+10.76%) ตามลำดับ กำไรสุทธิ (Net Profit) เมื่อเราดูกำไรสุทธิของบริษัทที่มีรายได้เติบโตดี เราจะพบว่า ITALIAN-THAI ขาดทุนถึงแม้รายได้จะเติบโตก็ตาม สำหรับ ITALIAN-THAI เป็นบริษัทที่มีกำไรสูงสุดและเติบโตจากปีก่อนหน้า เพิ่มขึ้น 26.41% สำหรับบริษัท SINO-THAI และSTP&I มีแนวโน้มของกำไรลดลง ส่วนบริษัทที่ทำกำไรเป็นจุดสูงสุดใหม่ คือ SYNTEC (64.52%), UNIQUE (28.37%) และ BJC HEAVY INDUSTRIES (15.89%)
อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) บริษัทที่มีอัตรากำไรสุทธิสูงที่สุดคือ SRIRACHA CONSTRUCTION (21.72%), BJC HEAVY INDUSTRIES (20.76%), STP&I (19.07%) และ PYLON (16%) โดยแนวโน้มกำไรของบริษัท SRIRACHA CONSTRUCTION (21.72%) และSTP&I (19.07%) มีแนวโน้มของอัตรากำไรสุทธิลดลง จากเดิมที่บริษัทเหล่านี้ทำได้มากกว่า 30% ส่วนบริษัทใหญ่อย่าง SINO-THAI, CH. KARNCHANG , ITALIAN-THAI มีระดับอัตรากำไรสุทธิค่อนข้างต่ำสำหรับ ITALIAN-THAI ถึงขั้นติดลบ
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset) จะเป็นตัวที่แสดงถึงประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากรภายในองค์กรเพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่กิจการว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยขนาดไหน กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง พบว่า กลุ่มรับเหมาก่อสร้างมีประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์ลดลง บริษัทที่มีอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์มากที่สุด คือ
SRIRACHA CONSTRUCTION สูงถึง 26.28% รองลงมา คือ STP&I (24.68%), PYLON (22.6%), และ BJC HEAVY INDUSTRIES (20.64%) สำหรับ SYNTEC ถือเป็นบริษัทที่มีแนวโน้มของ ROA เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity) บริษัทที่มีแนวโน้มของผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและสามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นได้มากกว่า 17% คือ STP&I (31.69%), PYLON (26.53%), SRIRACHA CONSTRUCTION (24%), BJC HEAVY INDUSTRIES (23.71%), PRE-BUILT (21.2%), SYNTEC (19.12%) และ SEAFCO (17.49%) โดยบริษัทที่มีแนวโน้มของ ROE เพิ่มขึ้นต่อเนื่องคือ SYNTECอัตรากำไรต่อหุ้น (Earning per Share) การเติบโตของกำไรต่อหุ้นจะเป็นตัวบอกถึงความสามารถในการทำกำไรของ บริษัท ว่าบริษัทสามารถสร้างกำไรส่วนเพิ่มให้แก่นักลงทุนต่อหนึ่งหน่วยลงทุนได้ดี มากน้อยขนาดไหนและเมื่อเราดูแนวโน้มอัตรากำไรต่อหุ้นประกอบทำให้เราสามารถ เลือกบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตได้ดีมากขึ้น บริษัทในกลุ่มขนส่งที่มีอัตรากำไรต่อหุ้นเพิ่มสูงขึ้นและมีค่าเป็นบวก ได้แก่ SYNTEC (64.71%) และ CK : CH. KARNCHANG (26.13%) สำหรับ SYNTEC แล้วถือเป็นบริษัทที่น่าสนใจเนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีการเติบโตของกำไรต่อหุ้นตลอดซึ่งจะกลายเป็นบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตได้ในอนาคต
อัตราหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity) สัดส่วนของหนี้สินต่อทุนที่อยู่ในระดับปกติไม่ควรมีหนี้สินต่อส่วนของทุนมากกว่า 2 เท่าและถ้าจะให้ดีควรจะน้อยกว่า 1 เท่า บริษัทที่มีหนี้สินต่อทุนมากกว่า 2 เท่า ได้แก่ POWER LINE ENGINEERING, ITALIAN-THAI, THAI POLYCONS , CH. KARNCHANG, TOYO-THAI, PRE-BUILT และNAWARAT PATANAKARN บริษัทเหล่านี้ถือว่ามีวินัยทางการเงินไม่ค่อยดีนักอาจจะต้องพิจารณาเป็นพิเศษถ้าหากจะเลือกลงทุน
อัตรากำไรสุทธิ จะแสดงถึง ความสามารถในการทำกำไรสุทธิของบริษัท เป็นการวัดความสามารถของบริษัทในการควบคุมรายจ่ายทุกประการทั้งดอกเบี้ยและภาษีเมื่อเทียบกับยอดขาย หากอัตราส่วนนี้มีค่าสูงแสดงว่าบริษัทสามารถเปลี่ยนยอดขายให้เป็นกำไรสุทธิได้มาก
อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) แสดงถึง สัดส่วนของเงินทุนจากการกู้ยืมต่อเงินทุนจากเจ้าของธุรกิจถ้าอัตราส่วนนี้สูงแสดงว่าบริษัทมีการกู้ยืมเงินในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินทุนจากผู้ถือหุ้นของบริษัท ทำให้มีความเสี่ยงในลักษณะเดียวกับอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์
อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset:ROA) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมของบริษัท เป็นการวัดความสามารถในการนำสินทรัพย์ทั้งหมดของธุรกิจใช่ในการสร้างยอดขายและควบคุมค่าใช่จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมดสุทธิจากภาษีแต่ก่อนต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิจากภาษีที่ประหยัดได้) อัตราส่วนที่สูงแสดงว่าบริษัทมีความสามารถสูงในการนำสินทรัพย์ไปสร้างกำไรจากการดำเนินงาน
อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรให้แก่เงินทุนของผู้ถือหุ้น หากค่าที่ได้จากการคำนวณสูงแสดงว่าผู้ถือหุ้นมีโอกาสได้รับเงินปันผลและผลตอบแทนที่สูง
บทความโดย : TerraBKK คลังความรู้ แหล่งข้อมูล : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก