TerraBKK Research ได้รวบรวม 10 บริษัท กลุ่ม "โรงแรม (Hotel)" โดยทาง TerraBKK Reseacrh ได้ทำการอัพเดทผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปี ของไตรมาส 3/2558 หลังจากมีการดำเนินงานผ่านมาแล้ว 9 เดือน โดยรวบรวมเฉพาะบริษัทที่อยู่ใน SET ไม่ได้หยิบยกบริษัทใน MAI มาพูดถึง ผ่านการวิเคราะห์งบการเงินและอัตราส่วนทางการเงินสำคัญต่างๆ เพื่อค้นหาศักยภาพของกิจการที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโตที่ดีที่สุดบริษัทค้าปลีกบริษัทใดบ้างที่น่าสนใจ ติดตามได้ดังต่อไปนี้

จากการสำรวจผลประกอบการของ TerraBKK Research ในกลุ่มโรงแรม เราพบว่า CENTEL : CENTRAL PLAZA HOTEL เป็นบริษัทที่มีการเติบโตของรายได้และมีกำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งมีความผันผวนในส่วนของความสามารถในการทำกำไรและประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์ที่ค่อนข้างนิ่งไม่ผันผวนมากนั้น อีกหนึ่งโรงแรมที่น่าสนใจคือ ASIA HOTEL มีการเติบโตของรายได้และกำไร แต่มีความผันผวนค่อนข้างมากในการมีประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ เป็นต้น

รายได้ (Revenue) โรงแรม (Hotel) (คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย)

รายได้ (Revenue) จากภาพรวมของอุตสาหกรรมโรงแรม ผลประกอบการในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาหลายๆบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นเกือบทุกบริษัท โดยบริษัทที่มีแนวโน้มของผลประกอบการเพิ่มสูงขึ้นติดต่อกัน 3 ปี ได้แก่ CENTRAL PLAZA HOTEL และ DUSIT THANI ซึ่งทั้งสองบริษัทมีการเพิ่มขึ้นของรายได้ปีนี้เทียบกับปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 6.70% และ 0.80% ตามลำดับ สำหรับ CENTRAL PLAZA HOTEL แล้วถือเป็นบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ มีรายได้สูงที่สุดและมีการเติบโตที่ฐานที่ค่อนข้างสูงแต่ก็ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนบริษัทที่มีรายได้เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นมากที่สุดของกลุ่ม ได้แก่ SHANGRI-LA HOTEL, ROYAL ORCHID HOTEL, และ THE ERAWAN GROUP กำไรสุทธิ (Net Profit) เมื่อรู้ส่วนของรายได้แล้วมาดูในส่วนของกำไรสุทธิกันบ้าง เพื่อดูความคล้อยตามกันว่า รายได้ที่เพิ่มขึ้นจะทำให้กำไรเพิ่มขึ้นหรือไม่ TerraBKK Research พบว่า ปีนี้เป็นปีที่ CENTRAL PLAZA HOTEL มีกำไรสุทธิมากที่สุดและสูงที่สุดของตั้งแต่ที่ประกอบกิจการมา โดยกำไรสุทธิเติบโตสูงถึง 93.06% และเติบโตมากที่สุดของกลุ่มและในช่วงที่ผ่านมาไม่เคยมีผลประกอบการขาดทุนเลย ส่วนบริษัทASIA HOTEL ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่น่าสนใจ เพราะทั้งรายได้และกำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้นและได้ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นที่รอบรอยในปีนี้

อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) โรงแรม (Hotel) (คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ในมุมของความสามารถในการทำกำไรในกลุ่มนี้ บริษัทที่มีอัตรากำไรขั้นต้นมากที่สุด คือ SHANGRI-LA HOTEL รองลงมาคือ ROYAL ORCHID HOTEL มีกำไรขั้นต้นสูงถึง 60% และเมื่อดู CENTRAL PLAZA HOTEL มีอัตรากำไรขั้นต้นเพียง 41% อยู่ในระดับนี้มาประมาณ 3 ปีแล้ว ส่วน ASIA HOTEL อัตรากำไรขั้นต้นสูงพอกับ CENTRAL PLAZA HOTEL อีกโรงแรมหนึ่งที่มีแนวโน้มของอัตรากำไรสุทธิดีขึ้นต่อเนื่อง คือ THE MANDARIN HOTEL ปัจจุบันมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 26.1% ส่วนอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) SHANGRI-LA HOTEL (26.85%) และASIA HOTEL (20.3%) มีอัตรากำไรสุทธิมากที่สุด

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset) อัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity) โรงแรม (Hotel) (คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset) จะเป็นตัวที่แสดงถึงประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากรภายในองค์กรเพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่กิจการว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยขนาดไหน บริษัทที่มีอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์มากที่สุด คือ SHANGRI-LA HOTEL มี ROA เท่ากับ 18.78% แต่ดู ROA แล้วค่อนข้างผันผวนมาก รองลงมาคือ OHTL (16.57%) และ CENTRAL PLAZA HOTEL (9.84%) ส่วน ROA ของ ASIA HOTEL ลดลงจากปีที่แล้วเหลือ 5.4% ในด้านอัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity) บริษัทที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นได้มากกว่า 17% คือ OHTL (28.11%), SHANGRI-LA HOTEL (18.28%) และ CENTRAL PLAZA HOTEL (16.76%) บริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทมีโอกาสที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในอนาคตและจะเป็นที่จับตามองของนักลงทุนหลายฝ่าย

อัตรากำไรต่อหุ้น (Earning per Share) โรงแรม (Hotel) (คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตรากำไรต่อหุ้น (Earning per Share) การเติบโตของกำไรต่อหุ้นจะเป็นตัวบอกถึงความสามารถในการทำกำไรของ บริษัท ว่าบริษัทสามารถสร้างกำไรส่วนเพิ่มให้แก่นักลงทุนต่อหนึ่งหน่วยลงทุนได้ดี มากน้อยขนาดไหนและเมื่อเราดูแนวโน้มอัตรากำไรต่อหุ้นประกอบทำให้เราสามารถ เลือกบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตได้ดีมากขึ้น บริษัทในกลุ่มโรงแรมที่มีอัตรากำไรต่อหุ้นเพิ่มสูงขึ้นและมีค่าเป็นบวก ได้แก่ SHANGRI-LA HOTEL (+398.72%), CENTRAL PLAZA HOTEL (+92.45%), OHTL (+74.42%) และASIA HOTEL (+43.71%) ในกลุ่มโรงแรมนี้ไม่มีบริษัทใดเลยที่มีแนวโน้มของกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นติดต่อกัน ส่วนใหญ่แล้วกำไรต่อหุ้นค่อนข้างผัน บวก ลบ สลับกันไป

หนี้สินต่อทุน (Debt to Equity) โรงแรม (Hotel) (คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย)

หนี้สินต่อทุน (Debt to Equity) สัดส่วนของหนี้สินต่อทุนที่อยู่ในระดับปกติไม่ควรมีหนี้สินต่อส่วนของทุนมากกว่า 2 เท่าและถ้าจะให้ดีควรจะน้อยกว่า 1 เท่า บริษัทที่มีหนี้สินต่อทุนมากกว่า 2 เท่า ได้แก่ THE ERAWAN GROUP เพียงบริษัทเดียว มี D/E Ratio เท่ากับ 2.17 เท่า บริษัทเหล่านนี้ถือว่ามีวินัยทางการเงินไม่ค่อยดีนักอาจจะต้องพิจารณาเป็นพิเศษถ้าหากจะเลือกลงทุน ส่วนบริษัทที่มีแนวโน้มของ D/E Ratio ลดลงต่อเนื่อง คือ CENTRAL PLAZA HOTEL และ SHANGRI-LA HOTEL

อัตรากำไรสุทธิ จะแสดงถึง ความสามารถในการทำกำไรสุทธิของบริษัท เป็นการวัดความสามารถของบริษัทในการควบคุมรายจ่ายทุกประการทั้งดอกเบี้ยและภาษีเมื่อเทียบกับยอดขาย หากอัตราส่วนนี้มีค่าสูงแสดงว่าบริษัทสามารถเปลี่ยนยอดขายให้เป็นกำไรสุทธิได้มาก

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) แสดงถึง สัดส่วนของเงินทุนจากการกู้ยืมต่อเงินทุนจากเจ้าของธุรกิจถ้าอัตราส่วนนี้สูงแสดงว่าบริษัทมีการกู้ยืมเงินในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินทุนจากผู้ถือหุ้นของบริษัท ทำให้มีความเสี่ยงในลักษณะเดียวกับอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์

อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset:ROA) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมของบริษัท เป็นการวัดความสามารถในการนำสินทรัพย์ทั้งหมดของธุรกิจใช่ในการสร้างยอดขายและควบคุมค่าใช่จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมดสุทธิจากภาษีแต่ก่อนต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิจากภาษีที่ประหยัดได้) อัตราส่วนที่สูงแสดงว่าบริษัทมีความสามารถสูงในการนำสินทรัพย์ไปสร้างกำไรจากการดำเนินงาน

อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรให้แก่เงินทุนของผู้ถือหุ้น หากค่าที่ได้จากการคำนวณสูงแสดงว่าผู้ถือหุ้นมีโอกาสได้รับเงินปันผลและผลตอบแทนที่สูง

บทความโดย : TerraBKK คลังความรู้ แหล่งข้อมูล : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก