TerraBKK Research ได้รวบรวมผลประกอบการกลุ่มบริษัท “ค้าปลีก” ที่ทำการซื้อขายในตลาด SET ประจำปี 2558 มีด้วยกันทั้งหมด 19 บริษัท โดยทางเราได้รวบรวมข้อมูลในอดีตมาให้วิเคราะห์ด้วย เพื่อให้เห็นแนวโน้มเรียบเทียบกับช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทเหล่านั้นมีผลประกอบการอย่างไรบ้างติดตามชมกันได้ดังต่อไปนี้

จากภาพรวมกลุ่มค้าปลีก พบว่า บริษัทที่สามารถทำผลประกอบการได้อย่างโดดเด่นและสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องบริษัทเหล่านั้น ได้แก่ CP ALL และ KAMART ทั้งสองตัวเป็นบริษัทที่มีการเติบโตของยอดขาย กำไร และความสามารถในการทำกำไรค่อนข้างดีมาก แต่สิ่งที่ต้องระวังสำหรับ CPALL คือ หนี้ค่อนข้างมาก ส่วนอีกบริษัทหนึ่งที่น่าสนใจคือ MEGA แต่ยอดขายในปี 2558 โตช้ากว่าปี 2557 ทำให้ลดความน่าสนใจลง

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

รายได้ (Revenue) แนวโน้มของการเติบโตของรายได้ในกลุ่มค่าปลีกส่วนใหญ่ยังเติบโตได้ดีจากปีที่แล้วโดยบริษัทที่มีรายได้มากที่สุดยังคงเป็น CP ALL มีรายได้สูงถึง 405,893 ล้านบาท เติบโต 9.3% (ถือว่าโตน้อยจากประเด็นด้านฐานรายได้ที่ค่อนข้างใหญ่แล้ว)รองลงคือ MAKRO มีรายได้ 155,917 ล้านบาทโตขึ้นจากปีที่แล้ว (9.4%) สำหรับบริษัทในกลุ่มค้าปลีกที่มีรายได้เติบโตสูงที่สุด (มากกว่า 10%) ได้แก่ BEAUTY: BEAUTY COMMUNITY (29.4%),MC: MC GROUP (18.3%), CSS: COMMUNICATION AND SYSTEM SOLUTION (14.1%) และ KAMART: KARMARTS (11.9%) เรียงจากมากไปน้อย ถ้าดูจากกราฟจะเห็นว่าทั้ง 4 บริษัทมีแนวโน้มของการเติบโตของรายได้โตอย่างต่อเนื่อง

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin : NPM) ต่อมาดูในส่วนของความสามารถในการทำกำไรบริษัทที่มี Margin มากสุด ได้แก่ BEAUTY, MC และ KAMART (22.46%, 18.5% และ 17.4% ตามลำดับ) จะเห็นว่าอุตสาหกรรมเครื่องสำอางสามารถทำ Margin ได้ค่อนข้างดี ส่วนบริษัท MC ทำเกี่ยวกับซื้อผ้าเครื่องแต่งกาย สำหรับ Margin ของ MC ก็สูงพอสมควรแต่ดูแล้วกำไรค่อนข้างผันผวนจากปี 2014 ที่ลดไปค่อนข้างมากส่วนบริษัทที่มี Margin ลดลงค่อนข้างชัดเจน คือ LOXLEY (1.71%) กับ SINGER (4.22%)

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset : ROA) เมื่อดูตัวเลขความสามารถในการใช้สินทรัพย์ในการสร้างกำไรให้บริษัท BEAUTY สามารถสร้าง ROA ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดที่ระดับ 36.18% และสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมาได้อย่างต่อเนื่องติดต่อกัน อันดับที่ 2 คือ BIG (30.61%) และอันดับสาม คือ KAMART (27.74%) อัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) บริษัทที่มี ROE สูงที่สุดในกลุ่มค้าปลีก คือ บริษัท BIG CAMERA มี ROE สูงถึง 67.45% ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับบริษัททั้งในและนอกกลุ่ม ส่วนบริษัทที่มี ROE เกิน 15% ได้แก่ BEAUTY (36.01%), KAMART (31.04%),COM7(23.48%), HMPRO (21.46%), MC (18.83%), CSS (17.53%), MEGA (16.74%), ROBINS (16.74%) และBIGC(15.54%)

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

กำไรต่อหุ้น (Earning per Share : EPS) บริษัทที่สามารถสร้างกำไรได้เติบโตต่อเนื่องและมีระดับของกำไรเติบโตมากกว่า10% ได้แก่ ROBINS: ROBINSON DEPARTMENT STORE (11.49%), SPC: SAHA PATHANAPIBUL (12.14%), MEGA: MEGA LIFESCIENCES (26.98%), CPALL: CP ALL (34.51%) และ KAMART: KARMARTS (128.57%)

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

หนี้สินต่อทุน (Debt to Equity : DE) หนี้สินต่อทุนของบริษัทควรจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 1 เท่า ซึ่งจะหมายถึงสุขภาพทางการเงินดี และยังสามารถก่อหนี้เพิ่มได้โดยไม่ต้องเพิ่มทุน แต่บริษัทที่มีหนี้สินต่อทุนมากกว่า 2 เท่าแสดงว่า วินัยทางการเงินค่อนข้างแย่มาก ไม่สามารถควบคุมสัดส่วนในการระดมทุนได้ดีนักบริษัทที่มีหนี้มากกว่า 2 เท่า มีแค่ 2 บริษัทคือ CP ALL และ MAKRO โดยหนี้ส่วนใหญ่ของ CP ALL มาจากการเข้าซื้อ MAKRO - เทอร์ร่า บีเคเค

อัตรากำไรสุทธิ จะแสดงถึง ความสามารถในการทำกำไรสุทธิของบริษัท เป็นการวัดความสามารถของบริษัทในการควบคุมรายจ่ายทุกประการทั้งดอกเบี้ยและภาษีเมื่อเทียบกับยอดขาย หากอัตราส่วนนี้มีค่าสูงแสดงว่าบริษัทสามารถเปลี่ยนยอดขายให้เป็นกำไรสุทธิได้มาก

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) แสดงถึง สัดส่วนของเงินทุนจากการกู้ยืมต่อเงินทุนจากเจ้าของธุรกิจถ้าอัตราส่วนนี้สูงแสดงว่าบริษัทมีการกู้ยืมเงินในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินทุนจากผู้ถือหุ้นของบริษัท ทำให้มีความเสี่ยงในลักษณะเดียวกับอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์

อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset:ROA) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมของบริษัท เป็นการวัดความสามารถในการนำสินทรัพย์ทั้งหมดของธุรกิจใช่ในการสร้างยอดขายและควบคุมค่าใช่จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมดสุทธิจากภาษีแต่ก่อนต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิจากภาษีที่ประหยัดได้) อัตราส่วนที่สูงแสดงว่าบริษัทมีความสามารถสูงในการนำสินทรัพย์ไปสร้างกำไรจากการดำเนินงาน

อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรให้แก่เงินทุนของผู้ถือหุ้น หากค่าที่ได้จากการคำนวณสูงแสดงว่าผู้ถือหุ้นมีโอกาสได้รับเงินปันผลและผลตอบแทนที่สูง

บทความโดย : TerraBKK คลังความรู้ แหล่งข้อมูล : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก