TerraBKK Research ได้รวบรวมผลประกอบการประจำปี 2558 ของกลุ่ม “วัสดุก่อสร้าง (Construction Material)” ทั้งในส่วนของการเติบโตของรายได้และกำไร (Revenue and EPS Growth) ความสามารถในการทำกำไร บริษัทไหนมีศักยภาพในการเติบโตสูงสุดในช่วงที่ผ่านมาและมีแนวโน้มจะเติบโตได้เป็นอย่างดี โดยทาง TerraBKK Research ได้รวบรวมเอาไว้ทั้งหมด 18 บริษัท โดยทางเราตัดบริษัท PPP : PREMIER PRODUCTS ออกเนื่องจากทำธุรกิจที่หลากหลายและมีส่วนที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับวัสดุก่อสร้างอยู่ค่อนข้างมาก ถึงเวลาแล้วที่เราไปดูกันว่าบริษัทในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างตัวไหนน่าสนใจที่สุด มีดังต่อไปนี้

สำหรับกลุ่มวัสดุก่อสร้าง จากการสำรวจของทาง TerraBKK Research พบว่า บริษัทที่มีการเติบของกำไรต่อหุ้นและรายได้ต่อเนื่อง รวมถึงความสามารถในการทำไรอยู่ในระดับที่สูง ได้แก่ บริษัท TCMC : THAILAND CARPET MANUFACTURING, EPG : EASTERN POLYMER GROUP และ VNG : VANACHAI GROUP

สรุปผลประกอบการปี 2558 กลุ่ม

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

รายได้ (Revenue) ในกลุ่มวัสดุก่อสร้างบริษัทที่มีรายได้มากที่สุด คือ บริษัท SCC : THE SIAM CEMENT มีรายได้สูงถึง 460,041 ล้านบาท แต่ถ้าหากเมื่อเทียบกับปี 2557 ลดลงถึง -8.65% ส่วนอันดับที่สองของกลุ่ม คือ TASCO : TIPCO ASPHALT มีรายได้ 37,580 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ -18.74% (***หุ้นแห่งปี 2558) ส่วนบริษัทที่สามารถสร้างรายได้ได้เติบโต (Revenue Growth) คือ บริษัท TCMC : THAILAND CARPET MANUFACTURING (+40.61%), EPG : EASTERN POLYMER GROUP (+25.09%), WIIK : WIIK & HOEGLUND (+14.73%) และ UMI : THE UNION MOSAIC (+10.00%) โดย TCMC, EPG และ WIIK เป็นบริษัทที่มีรายได้เติบโตสามปีต่อเนื่อง

สรุปผลประกอบการปี 2558 กลุ่ม

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin : NPM) สำหรับความสามารถในการทำกำไรในกลุ่มวัสดุก่อสร้างส่วนใหญ่ลดลงหลายบริษัท บริษัทที่มีอัตรากำไรสุทธิมากที่สุด (+>10%) ได้แก่ DCC : DYNASTY CERAMIC (+19.1%), SCP : SOUTHERN CONCRETE PILE (+16.74%), DCON : DCON PRODUCTS (+15.1%), SCCC : SIAM CITY CEMENT (+14.55%), EPG : EASTERN POLYMER GROUP (+14.07%), TASCO : TIPCO ASPHALT (+13.51%), VNG : VANACHAI GROUP (+13.13%) และ TGCI : THAI-GERMAN CERAMIC (+10.61%) ส่วนบริษัทที่มีกำไรสุทธิเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด คือ EPG, TASCO และ VNG

สรุปผลประกอบการปี 2558 กลุ่ม

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset : ROA) ส่วนในเรื่องของการใช้สินทรัพย์ในการสร้างผลตอบแทน บริษัทที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่ในการสร้างผลตอบแทน คือ TASCO : TIPCO ASPHALT มี ROA เท่ากับ 40.83% รองลงมา คือ บริษัท DCC, SCP, SCCC และ DCON ส่วนบริษัทที่มี ROA ติดลบมีเพียงสองบริษัทนั่นก็คือ UMI : THE UNION MOSAIC และ RCI : THE ROYAL CERAMIC INDUSTRY ส่วนอัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) บริษัทที่สามารถในการสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้มากกว่า 15% ได้แก่TASCO : TIPCO ASPHALT, DCC : DYNASTY CERAMIC, SCC : THE SIAM CEMENT, SCCC : SIAM CITY CEMENT, VNG : VANACHAI GROUP, SCP : SOUTHERN CONCRETE PILE, DCON : DCON PRODUCTS และ WIIK : WIIK & HOEGLUND ตามลำดับเรียงจากมากไปน้อย

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

กำไรต่อหุ้น (Earning per Share : EPS) บริษัทที่มีการเติบโตของกำไรสุทธิสูงที่สุด คือ WIIK : WIIK & HOEGLUND, VNG : VANACHAI GROUP (+89.6%), EPG : EASTERN POLYMER GROUP (+57.1%), SCC : THE SIAM CEMENT (+35.1%), TCMC : THAILAND CARPET MANUFACTURING (+32%) และ DRT : DIAMOND BUILDING PRODUCTS (+14.3%) บริษัทที่มีกำไรโตต่อหุ้นโตต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา คือ บริษัท VNG และ TCMC ส่วน DCC และ TASCO ที่เห็นว่า ROE ROA ดีสูงมาก แต่เมื่อดู EPS ปีนี้กลับลดลงจากปีที่แล้ว

สรุปผลประกอบการปี 2558 กลุ่ม

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

หนี้สินต่อทุน (Debt to Equity) หนี้สินต่อทุนของบริษัทควรจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 1 เท่า ซึ่งจะหมายถึงสุขภาพทางการเงินดี และยังสามารถก่อหนี้เพิ่มได้โดยไม่ต้องเพิ่มทุน แต่บริษัทที่มีหนี้สินต่อทุนมากกว่า 2 เท่าแสดงว่า วินัยทางการเงินค่อนข้างแย่มาก ไม่สามารถควบคุมสัดส่วนในการระดมทุนได้ดีนัก สำหรับอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างไม่มีบริษัทใดเลยที่มีอัตราหนี้สินต่อทุนสูงกว่า 2 เท่า

อัตรากำไรสุทธิ จะแสดงถึง ความสามารถในการทำกำไรสุทธิของบริษัท เป็นการวัดความสามารถของบริษัทในการควบคุมรายจ่ายทุกประการทั้งดอกเบี้ยและภาษีเมื่อเทียบกับยอดขาย หากอัตราส่วนนี้มีค่าสูงแสดงว่าบริษัทสามารถเปลี่ยนยอดขายให้เป็นกำไรสุทธิได้มาก

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) แสดงถึง สัดส่วนของเงินทุนจากการกู้ยืมต่อเงินทุนจากเจ้าของธุรกิจถ้าอัตราส่วนนี้สูงแสดงว่าบริษัทมีการกู้ยืมเงินในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินทุนจากผู้ถือหุ้นของบริษัท ทำให้มีความเสี่ยงในลักษณะเดียวกับอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์

อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset:ROA) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมของบริษัท เป็นการวัดความสามารถในการนำสินทรัพย์ทั้งหมดของธุรกิจใช้ในการสร้างยอดขายและควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมดสุทธิจากภาษีแต่ก่อนหักต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิจากภาษีที่ประหยัดได้) อัตราส่วนที่สูงแสดงว่าบริษัทมีความสามารถสูงในการนำสินทรัพย์ไปสร้างกำไรจากการดำเนินงาน

อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรให้แก่เงินทุนของผู้ถือหุ้น หากค่าที่ได้จากการคำนวณสูงแสดงว่าผู้ถือหุ้นมีโอกาสได้รับเงินปันผลและผลตอบแทนที่สูง

บทความโดย : TerraBKK คลังความรู้ แหล่งข้อมูล : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก