สรุปผลประกอบการปี 2558 กลุ่ม "ธุรกิจการเกษตร" ย้อนหลัง 5 ปี
TerraBKK Research ได้รวบรวมผลประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรม “ธุรกิจการเกษตร (AGRI : Agribusiness)” บริษัทใดในอุตสาหกรรมนี้ที่มีรายได้ อัตรากำไรสุทธิ และสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุด โดยทางเราได้รวบรวมข้อมูลเฉพาะบริษัทที่ได้ทำการซื้อขายผ่านตลาด SET เท่านั้น มีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
เราพบว่า ปีที่ผ่านมาผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มนี้ ทั้งจะไม่เติบโตแล้ว ความสามารถในการทำกำไรยังตกต่ำต่อเนื่องอีกด้วย จึงทำให้ไม่มีบริษัทใดเลยที่ดูน่าสนใจ
(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)
รายได้ (Revenue) กลุ่มธุรกิจเกษตรส่วนใหญ่แล้วมีรายได้ลดลงต่อเนื่อง มีเพียงสองบริษัทที่มีรายได้เพิ่มสูงขึ้น คือ UPOIC : UNITED PALM OIL INDUSTRY (+5.54%) และ TRS : TRANG SEAFOOD PRODUCTS (+2.75%) ส่วนบริษัทที่มีรายได้ในธุรกิจการเกษตรมากที่สุด คือ STA : SRI TRANG AGRO-INDUSTRY มีรายได้เท่ากับ 63,436 ล้านบาท แต่แนวโน้มรายได้ของ STA มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องในช่วง 5 ปี ซึ่งปีล่าสุดลดลง -18.40%
(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)
อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin : NPM) บริษัทที่มีอัตรากำไรสุทธิมากที่สุด คือ UVAN : UNIVANICH PALM OIL มี NPM เท่ากับ 9.27% ลดลงต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา อันดับที่สอง คือ GFPT : GFPT (7.05%) และอันดับสาม คือ TWPC :THAI WAH (5.68%) ในอีกด้านหนึ่งก็มีหลายบริษัทที่ผลประกอบการขาดทุน NPM ติดลบ ได้แก่ VPO : VICHITBHAN PALMOIL, TLUXE : THAILUXE ENTERPRISES, UPOIC : UNITED PALM OIL INDUSTRY และTRUBB : THAI RUBBER LATEX
(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset : ROA) สำหรับประสิทธิภาพของบริษัทในการใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่ในบริษัทมาสร้างผลตอบแทน เราพบว่า UVAN : UNIVANICH PALM OIL มี ROA สูงที่สุดในกลุ่ม รองลงมากคือ GFPT : GFPTและ TRS : TRANG SEAFOOD PRODUCTS แต่ถ้าดูเปรียบเทียบกับในอดีตเราจะพบว่าทั้ง UVAN และ GFPT มีความสามารถในการกำไรลดลง อัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) ในส่วนของการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น TerraBKK Research พบว่า GFPT : GFPT (13.31%), UVAN : UNIVANICH PALM OIL (11.52%) และ LEE : LEE FEED MILL (5.78%) มี ROE อยู่ในระดับที่สูงสามอันดับแรก แต่ก็ลดลงเมื่อเทียบกับอดีต
(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)
กำไรต่อหุ้น (Earning per Share : EPS) เมื่อดูถึงการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) เราจะพบว่าบริษัทที่มีกำไรต่อหุ้นโตมากที่สุด คือ CHOTI : KIANG HUAT SEA GULL TRADING (+5,885.7%) เนื่องจากปีที่ผ่านมา CHOTI มี EPS อยู่ในระดับที่ต่ำมาก สำหรับอุตสาหกรรมนี้ กำไรค่อนข้างผันมาก ส่งผลให้ EPS Growth ไม่สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)
หนี้สินต่อทุน (Debt to Equity) จะเป็นตัวแสดงถึงสถานะทางด้านการเงินของบริษัทว่า บริษัทก่อหนี้เกินตัวหรือไม่ และจะสามารถระดมทุนผ่านการก่อหนี้เพิ่มได้หรือไม่ หรือต้องไปขอเพิ่มทุนจากนักลงทุน บริษัทที่มีหนี้สินต่อทุนมากกว่า 2 เท่า คือ TRUBB : THAI RUBBER LATEX มีอัตราหนี้สินต่อทุนเท่ากับ 3.26 เท่า ส่วนบริษัทอื่นหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับปกติ
อัตรากำไรสุทธิ จะแสดงถึง ความสามารถในการทำกำไรสุทธิของบริษัท เป็นการวัดความสามารถของบริษัทในการควบคุมรายจ่ายทุกประการทั้งดอกเบี้ยและภาษีเมื่อเทียบกับยอดขาย หากอัตราส่วนนี้มีค่าสูงแสดงว่าบริษัทสามารถเปลี่ยนยอดขายให้เป็นกำไรสุทธิได้มาก
อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) แสดงถึง สัดส่วนของเงินทุนจากการกู้ยืมต่อเงินทุนจากเจ้าของธุรกิจถ้าอัตราส่วนนี้สูงแสดงว่าบริษัทมีการกู้ยืมเงินในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินทุนจากผู้ถือหุ้นของบริษัท ทำให้มีความเสี่ยงในลักษณะเดียวกับอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์
อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset:ROA) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมของบริษัท เป็นการวัดความสามารถในการนำสินทรัพย์ทั้งหมดของธุรกิจใช้ในการสร้างยอดขายและควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมดสุทธิจากภาษีแต่ก่อนหักต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิจากภาษีที่ประหยัดได้) อัตราส่วนที่สูงแสดงว่าบริษัทมีความสามารถสูงในการนำสินทรัพย์ไปสร้างกำไรจากการดำเนินงาน
อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรให้แก่เงินทุนของผู้ถือหุ้น หากค่าที่ได้จากการคำนวณสูงแสดงว่าผู้ถือหุ้นมีโอกาสได้รับเงินปันผลและผลตอบแทนที่สูง
บทความโดย : TerraBKK คลังความรู้ แหล่งข้อมูล : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก