สรุป ผลประกอบการ ปี 2559 “ กลุ่มค้าปลีก ”
สรุป ผลประกอบการ ปี2559 “ กลุ่มค้าปลีก ” เจ้าตลาดอย่างยักษ์ใหญ่ ซีพี ออลล์ (CPALL) ยังคงครองแชมป์รายได้และกระแสเงินสดสุทธิสูงสุดในกลุ่ม แม้จะมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ) สูงถึง 5.3 เท่าก็ตาม ขณะที่ตัวเลขทางด้านกำไร พบว่า สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง(SPI) มีอัตรากำไรสุทธิ (NPM) สูงสุด 36.9% , บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์(BIGC) มีกำไรต่อหุ้น (EPS) สูงสุด 7.77 บาทต่อหุ้น , บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น(BIG) อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงสุด 77.4% และ อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) สูงสุด ตกเป็นของ บิวตี้ คอมมูนิตี้(BEAUTY) 50.6%
TerraBKK Research สังเกตการณ์บริษัทมหาชนกลุ่มอุตสาหกรรม “กลุ่มค้าปลีก ” จำนวน 22 บริษัท เปรียบเทียบพื้นฐานด้านราคา พบว่า บริษัทธุรกิจค้าปลีกมักมี market cap. (ราคาปิดของหุ้น X ปริมาณหุ้นจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์) เฉลี่ยราว 7,570-67,450 ล้านบาท แต่ก็มี 5 บริษัทมหาชน ที่มีขนาดระดับแสนบาทล้าน ล้วนแต่เป็นชื่อที่เรารู้จักกันดี นั้นคือ ซีพี ออลล์ (CPALL) , เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) ,บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์(BIGC) ,สยามแม็คโคร(MAKRO) และ โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์(HMPRO) ขณะที่ อัตราส่วน P/E (การเปรียบเทียบราคาตลาดของหุ้นสามัญต่อกำไรสุทธิต่อหุ้นสามัญตัวนั้น ๆในรอบ 12 เดือน) เฉลี่ย 24.5-39.5 เท่า อัตราส่วนสูงสุดจะเป็นไอที ซิตี้(IT) อัตราส่วน P/BV (การเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นสามัญต่อมูลค่าทางบัญชีของหุ้นสามัญตัวนั้น ๆ) เฉลี่ย 1.8-6.9เท่า อัตราส่วนสูงสุดจะเป็นบิวตี้ คอมมูนิตี้(BEAUTY) อัตราเงินปันผลตอบแทน (การเปรียบเทียบเงินปันผลต่อหุ้นเทียบกับราคาตลาดของหุ้นสามัญตัวนั้น ๆ) เฉลี่ย 1.5%-2.8% โดยบริษัทที่มีอัตราปันผลสูงสุด จะเป็น คอมมิวนิเคชั่น แอนด์ ซิสเต็มส์ โซลูชั่น (CSS) 5.16 %TerraBKK Research รวบรวม ผลประกอบการบริษัทมหาชน ปี 2559 ของกลุ่มอุตสาหกรรม “ ค้าปลีก ” จำนวน 22 บริษัท ประกอบด้วยตัวเลขและอัตราส่วนทาการเงิน ได้แก่ รายได้ (Revenue) ,อัตรากำไรสุทธิ (NPM) ,กำไรต่อหุ้น (EPS) , เงินสดสุทธิ (Net Cash Flow ) , อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE),อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) และ หนี้สินต่อทุน ( D/E ) รายละเอียดดังนี้ 1. รายได้ (Revenue) ของกลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีก ปี 2559 ที่ผ่านมา TerraBKK Research พบว่ามีทั้งบริษัทที่สามารถสร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้นและลดลง เมื่อเทียบกับปีก่อน บริษัทที่สามารถทำรายได้สูงโดดเด่นของกลุ่ม จะเป็น ซีพี ออลล์ (CPALL) และ 3 อันดับถัดมาจะเป็น สยามแม็คโคร(MAKRO) ,เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) และ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์(BIGC) ขณะที่บริษัทที่มีเปอร์เซ็นต์รายได้เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) , บิวตี้ คอมมูนิตี้(BEAUTY) และ คาร์มาร์ท(KAMART) 2.อัตรากำไรสุทธิ ( Net Profit Margin : NPM) ปี 2559 ของอุตสาหกรรมนี้ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอัตรากำไรสุทธิราว 8.9% โดย 3 อันดับแรกที่มีอัตราส่วนกำไรสุทธิดีที่สุด ได้แก่ สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง(SPI) 36.9% ,บิวตี้ คอมมูนิตี้(BEAUTY) 25.6% และ แม็คกรุ๊ป (MC)18.8% ขณะเดียวกัน TerraBKK Researchสังเกตพบบริษัทที่มีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นั้นคือ บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น(BIG) เพิ่มกว่า 55% เมื่อเทียบกับปีก่อน 3. กำไรต่อหุ้น (Earning per Share : EPS) สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีก ในปี 2559 นี้ ส่วนใหญ่มีตัวเลขที่ปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ TerraBKK Research เห็นบริษัทที่มีตัวเลขกำไรต่อหุ้น สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์(BIGC) 7.77 บาทต่อหุ้น ,สหพัฒนพิบูล (SPC) 4.16 บาทต่อหุ้น และ สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง(SPI) 3.41 บาทต่อหุ้น
4. อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) ปี 2559 ของกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ มีค่าเฉลี่ยราว 19.8%TerraBKK Research พบว่าบริษัทที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงผลตอบแทนผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นโดดเด่น คือ สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) 58% จากปีก่อน และบิวตี้ คอมมูนิตี้(BEAUTY) 48% จากปีก่อน ขณะเดียวกันก็พบบริษัทที่มีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นลดลง 3 อันดับแรก เมื่อเทียบกับปีก่อน ได้แก่ เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) , คอมมิวนิเคชั่น แอนด์ ซิสเต็มส์ โซลูชั่น (CSS) และ ไอที ซิตี้(IT) 5. อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset : ROA) ของกลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีก นี้ TerraBKK Research โดยภาพรวมปี 2559 มีค่าเฉลี่ยราว 13.3% สำหรับ 3 อันดับแรกที่มีอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์สูงสุด ได้แก่ บิวตี้ คอมมูนิตี้(BEAUTY) 50.6%, บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น(BIG) 45.6% และ คาร์มาร์ท(KAMART) 29.7% โดย บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น(BIG) ปรับตัวเพิ่มสูงสุด และ คอมมิวนิเคชั่น แอนด์ ซิสเต็มส์ โซลูชั่น (CSS) ปรับตัวลงแรงที่สุด เมื่อเทียบกับปีก่อน
6. เงินสดสุทธิ (Net Cash Flow ) แสดงการเคลื่อนไหวของเงินทุนผ่านการดำเนินงานของบริษัททั้ง 3 กิจกรรม อันได้แก่ กิจกรรมดำเนินงาน ,กิจกรรมลงทุน,กิจกรรมจัดหาเงิน โดยบริษัทที่มีเงินสดสุทธิโดดเด่นได้แก่ ซีพี ออลล์ (CPALL) ทั้งนี้ หากผลลัทธ์ออกมาเป็นตัวเลขติดลบTerraBKK Researchอธิบายว่า ขณะนั้นบริษัทมีสถานะเงินสดไหลออกมากกว่าเงินสดไหลเข้า จุดนี้เองอาจส่อสัญญาณขาดสภาพคล่องในการดำเนินงานได้ ซึ่งพบว่า 3 อันดับแรกที่มีตัวเลขเงินสดสุทธิติดลบมากที่สุด ได้แก่ ซีโอแอล(COL), คอมมิวนิเคชั่น แอนด์ ซิสเต็มส์ โซลูชั่น (CSS) , สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง(SPI) สาเหตุมาจากทั้ง 3 กิจกรรม เช่น เจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้อื่น , เงินสดจ่ายจากการซื้อที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ , เงินปันผลจ่าย เป็นต้น 7. หนี้สินต่อทุน ( Debt to Equity : D/E ) ของกลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีก ปี 2559 นี้ ส่วนใหญ่มีค่าไม่เกิน 2 เท่า ถือว่าอยู่ในเกณฑ์พอใช้ ทั้งนี้ สังเกตเห็นบริษัทที่มีตัวเลขหนี้สินต่อทุนสูงสุด ยังคงเป็น ซีพี ออลล์ (CPALL) 5.3 เท่า แม้จะเป็นตัวเลขที่ลดลงจากปีก่อนแล้วก็ตาม --เทอร์ร่า บีเคเค
บทความโดย : TerraBKK เคล็ดลับการลงทุน TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก