3 ปัจจัย ผลักดันรายได้ ORIGIN 2560
บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งกำลังน่าจับตามองในปัจจุบัน บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีการออกแบบโครงการที่มีเอกลักษณ์ (Uniqueness Project Design) และยังเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมที่เป็นผู้บุกเบิกโครงการคอนโดมิเนียมบริเวณสถานีรถไฟฟ้า BTS แบริ่ง จังหวัดสมุทรปราการ
การดำเนินงานของบริษัทในปัจจุบัน(Q2/60) ได้ขยับเป้าหมายการดำเนินงานต่างๆขึ้นเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะปัจจัยหลักอย่าง ตัวเลขรายได้รวม และ Backlog ซึ่งขยับขึ้นถึง 50 และ 76% มาอยู่ที่ 9,000 และ 25,000 ล้านบาทตามลำดับ ถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างมากสำหรับมูลค่าในปัจจุบันของบริษัท
ประเด็นการลงทุนของ Origin
ประเด็นที่หนึ่งคือ การเติบโตของรายได้ในปี 2560 ซึ่งมีโอกาสเติบโตถึง 50%
บริษัทมีรายได้จากการขายโครงการ Park 24 ซึ่งโครงการนี้มูลค่าอยู่ที่ 17,0000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขาย 64% คิดเป็นประมาณ 10,900 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้รายได้จนหมดภายในปี 2562 โดยคาดว่าจะบันทึกรายได้ก้อนแรกจำนวน 3,000 ล้านบาท ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2560 ส่วนของตัวโครงการตั้งอยู่ระหว่างซอยสุขุมวิท 22 และ 24 ซึ่งอยู่ใจกลางทั้งแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหารต่าง ๆละแวกพร้อมพงษ์ ทั้งนี้คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จในปี 2561
นอกจากนี้ยังมีโอกาสเติบโตทางรายได้จาก Backlog ทั้งหมดของบริษัทในตอนนี้ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 25,000 ล้านบาท ถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างมาก โดยโครงการต่าง ๆทั้ง KnightsBridge, Kensington และ Notting hill จะมีการทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ไปจนถึงไตรมาสที่ 4 ปี 2561
ประเด็นที่สองคือ การเปิดตัวโครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะโครงการที่ร่วมลงทุนกับ Nomura Real Estate Development ทั้งหมด 4 โครงการ มูลค่ารวม 7,400 ล้านบาท
บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการอีกประมาณ 6 โครงการในช่วงครึ่งปีหลัง มูลค่ารวม 8,600 ล้านบาท ซึ่งที่น่าจับตามองจะเป็นโครงการที่ร่วมลงทุนกับ Nomura Real Estate Development ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เจ้าใหญ่จากญี่ปุ่นในสัดส่วน 51:49 ใช้เงินลงทุนรวม 2156 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ได้แก่ KnightsBridge Prime Onnut, KnightsBridge Prime Ratchayothin, KnightsBridge Collage Ramkhamhaeng และ KnightsBridge Kaset Society ซึ่งจุดขายของโครงการเหล่านี้จะอยู่ที่การเน้นความสะดวกสบายของที่พัก ใกล้แหล่งร้านอาหาร และความสะดวกในการเดินทาง เพราะโครงการทั้งหมดจะอยู่ห่างจาก BTS ไม่เกิน 600 เมตร
ประเด็นที่สามคือ รายได้จากการขายหุ้นในบริษัทลูกให้บริษัท Nomura Real Estate Development เข้ามาถือแทน คิดเป็นรายได้ประมาณ 800 ล้านบาท
บริษัทจะมีผลบวกระยะสั้นทางกำไรจากการบันทึกกำไรพิเศษครั้งเดียว ซึ่งมาจากการขายเงินลงทุนในบริษัทลูกให้บริษัท Nomura Real Estate Development เข้ามาถือแทน ประกอบไปด้วย ออริจิ้น ไพร์ม 2, ออริจิ้น รามคำแหง, ออริจิ้น สเฟียร์ และออริจิ้น เวอร์ติเคิล โดยคาดว่าจะมีการบันทึกกำไรภายในไตรมาสที่ 4 ปีนี้
สิ่งที่จะทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างชัดเจนในตอนนี้ก็คือรายได้ที่จะต้องทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ถ้ายอดขายครึ่งปีหลังของบริษัทเป็นไปด้วยดีตามเป้า น่าจะทำให้รายได้รวมของบริษัทในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดได้ เพราะเพียงแค่รายได้จากการบันทึกกำไรพิเศษและการรับรู้รายได้จากโครงการ Park 24 รวมกันก็อยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาทแล้ว บวกกับรายได้สองไตรมาสแรกรวมกันก็อยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท ทำให้ขาดอีกเพียงประมาณ 2,000 ล้านบาทก็จะถึงเป้าที่คาดไว้ในปีแล้ว ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างมากและทำให้ยอดรวมรายได้ในปีนี้เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด แต่การลงทุนนั้นก็ต้องมีเรื่องที่ต้องระวัง เนื่องจากราคาหุ้นในปัจจุบันก็สะท้อนความคาดหวังทางรายได้จากโครงการต่างๆไปพอสมควรแล้ว ยังมีอีกปัจจัยที่สำคัญคือ รูปแบบรายได้ของบริษัทนั้นมีส่วนที่เป็นรายได้พิเศษจากการร่วมทุนกับพันธมิตรใหม่ และยังมีการต้องนำเงินไปหมุนเวียนลงทุนเพิ่มจากโครงการนี้อีกมาก ทำให้รูปแบบรายได้ของธุรกิจในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไป
TerraBKK Research มีความเห็นว่าหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์นั้นในปัจจุบันมีลักษณะการรับรู้รายได้เป็นวัฏจักร เพราะมีต้องมีการนำเงินไปลงทุนเพิ่มอยู่ตลอดเวลา รูปแบบการเติบโตจึงมีความแตกต่างจากธุรกิจประเภทอื่นค่อนข้างชัดเจน ผู้ลงทุนควรมีการศึกษาข้อมูลของบริษัทในกลุ่มอย่างสม่ำเสมอ