ถกประเด็นเทรนด์ลงทุนอสังหาฯ ปี 61 ในงานสัมมนา “จับทิศทางอสังหาฯ ปี 61” ที่ SCB Investment Center
เมื่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยเดินทางมาถึงไตรมาสสุดท้ายหลังจากผ่านช่วงคึกคักและมีโครงการที่น่าสนใจเกิดขึ้นตลอดทั้งปี ทางธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) จึงชักชวนทีมงาน Terra BKK พร้อมด้วยสมาชิก SCB Private Banking, SCB FIRST และ SCB PRIME ที่สนใจเรื่องการลงทุนในด้านอสังหาริมทรัพย์มาเตรียมตัวเดินหน้าสู่ปีถัดไปอย่างมั่นใจ ด้วยการร่วมฟังการสัมมนาในหัวข้อ “จับทิศทางอสังหาฯ ปี 61” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่ศูนย์รวมคำปรึกษาและฟังก์ชันครบวงจรแห่งใหม่สำหรับนักลงทุนอย่าง SCB Investment Center จัดขึ้นเพื่อให้ลูกค้าของธนาคารได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ด้านการบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคล ณ ชั้น 5 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันเสาร์ที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นการเปิดประเดิมซี่รี่ส์สัมมนาด้านการลงทุนที่ SCB Investment Center ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขามาแชร์กลยุทธ์และข้อมูลอินไซต์ให้สมาชิกฯ ที่สนใจต่อยอดความสำเร็จด้วยการลงทุนที่น่าสนใจตลอดทั้งปี
ภายในงานได้รับเกียรติจากสองผู้คร่ำหวอดแห่งวงการอสังหาริมทรัพย์อย่าง คุณพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และ ดร. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มาเล่าสู่กันฟังถึงเรื่องเทรนด์การลงทุนในแวดวงอสังหาฯ ในปีหน้าและอนาคตต่อไปที่จะมาถึง รวมถึงข้อกังวลเรื่องฟองสบู่แตกและภาษีที่ดินฉบับใหม่ ให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ทราบพร้อมนำไปใช้ในการตัดสินใจลงทุน
เริ่มต้นที่ ดร.ชัชชาติ เผยข้อมูลภาพรวมของอสังหาฯ ตลอดปี พ.ศ. 2560 ที่ผ่านมาว่าบ้านเดี่ยวราคา 2-10 ล้านบาทยังคงเป็นที่ต้องการของตลาด และบ้านแฝดหรือทาวน์เฮ้าส์ก็ยังมีโอกาสโตอยู่ เช่นเดียวกับทางฟากของคอนโดฯ ราคา 1-3 ล้านบาทที่ยังบูมอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีปัจจัยกระตุ้นอย่างสถานีรถไฟฟ้าสายต่างๆ ที่จะผุดขึ้นยาวไปจนถึงปี พ.ศ. 2570 และขยายเพิ่มเติมอีกในอนาคตจนครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ เราจะได้เห็นคอนโดมิเนียมและอพาร์ตเมนท์ตามแนวรถไฟฟ้าทุกสถานี เพราะผู้บริโภคยังคงต้องการทำเลที่เดินทางสะดวก หลีกเลี่ยงการจราจรติดขัด รวมถึงปัจจัยอื่นๆ อย่างไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตในเมืองซึ่งไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่ใช้สอยมากนัก
ทั้ง ดร. ชัชชาติ และคุณพีระพงศ์ ชี้เป้าว่าต่อไปบริเวณแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว (หมอชิต-คูคต) และสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-สุวินทวงศ์) จะเป็นทำเลทองสำหรับนักลงทุน เพราะเป็นพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากและเป็นสายที่วิ่งผ่านย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ส่วนอาคารสำนักงานคาดการณ์ว่าจะยังคงกระจุกตัวอยู่ใน CBD ไม่ขยายไปในแถบชานเมือง สอดรับกับโครงการพัฒนาสำนักงานขนาดใหญ่ต่างๆ จากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่เปิดตัวในช่วงปีที่ผ่านมา
คุณพีระพงศ์คาดการณ์ว่าภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าจะผงกหัวขึ้น จากสัญญาณบวกในด้านเศรษฐกิจและ GDP ประกอบกับการที่เงินกู้จำนองถูกลงมาก จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ช่วยขยายฐานลูกค้า เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคหันมาซื้อผลิตภัณฑ์อสังหาฯ ในระดับ middle-high กันง่ายขึ้น จนกล่าวได้ว่าเดี๋ยวนี้คนที่เงินเดือนอยู่ที่ 40,00-50,000 ก็สามารถซื้อบ้าน 4-6 ล้านได้แล้ว คุณพีระพงศ์มองว่า ต่อไปทาวน์เฮ้าส์ ราคา 2-3 ล้านจะเกิดน้อยลงมากในกรุงเทพฯ เพราะรถไฟฟ้าเข้าถึงทุกที่ ทำให้ราคาที่ดินสูงตาม โดยในอนาคตสัดส่วนของที่พักอาศัยแนวราบต่อคอนโดฯ จะกลายเป็น 30:60 ซึ่งกลับตาลปัตรจากสัดส่วนในสมัยก่อน
นอกจากนี้คุณพีระพงศ์ยังเสริมว่า เมกะโปรเจคต์อย่างโครงการรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมระหว่างสามสนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) รวมทั้งการที่ผู้บริโภคในแถบจังหวัดชลบุรี-ระยองมีกำลังซื้อสูง ทำให้คอนโดฯ ขายได้ดี และไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องสินเชื่อมากนัก จะเป็นตัวกระตุ้นให้วงการอสังหาฯ และเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมของประเทศเติบโต จนทำให้ไทยเราสามารถฉีกตัวให้เป็นผู้นำในภูมิภาคนี้ได้
ดร.ชัชชาติ ยืนยันว่าจะไม่เกิดภาวะฟองสบู่แตกอย่างแน่นอน เพราะปัจจุบันผู้บริโภคซื้อเก็งกำไรกันน้อยลง และเล็งว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและสนามบินจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของวงการอสังหาริมทรัพย์ในไทย ดังจะเห็นได้จากกรณีที่พื้นที่รอบสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิเป็นทำเลทองและเป็นแหล่งงานใหญ่ ส่วนที่ดินในกรุงเทพฯ ที่มีแนวโน้มจะดีขึ้นคือแถบพระราม 2 เนื่องจากจะมีการสร้างทางด่วนใหม่ผุดขึ้นเพื่อให้ผู้คนในละแวกดังกล่าวสามารถสัญจรเข้ามาในเมืองได้ง่ายขึ้น สำหรับใครที่มีเล็งที่ดินในแนวรถไฟฟ้าอาจลองมองหาที่ดินผืนที่อยู่ห่างจากสถานีไปสัก 500-800 เมตร เพราะราคาจะไม่สูงเท่าบริเวณที่ติดสถานี แต่ยังคงมีการคมนาคมที่สะดวก
ทั้งคุณพีระพงศ์และ ดร. ชัชชาติ ได้เพิ่มเติมอีกว่า นอกจากเรื่องการท่องเที่ยวแล้ว พื้นที่อู่ตะเภาจะกลายเป็นศูนย์กลางด้านการซ่อมบำรุงเครื่องบิน (Maintenance Repair Overhaul: MRO) อีกแห่งหนึ่งของโลก เพราะประเทศไทยอยู่กลางภูมิภาคและมีแรงงานฝีมือดี และถ้าหากจังหวัดชลบุรีสามารถสร้างเนื้อหาให้เมืองน่าอยู่ มีแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถสร้างมูลค่าได้ อสังหาฯ ในแถบนี้ก็จะเติบโตพุ่งสูงขึ้นก็อย่างแน่นอน
คุณพีระพงศ์กล่าวว่าขณะนี้ผังเมืองเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดราคาที่ดิน ดังเช่นในกรณีของเมืองนนทบุรี ที่กฎหมายที่ดินฉบับใหม่จะส่งผลให้การพัฒนาที่ดินในเมืองนนท์ให้เป็นบ้านจัดสรรหรือคอนโดมิเนียมกลายเป็นเรื่องยาก อสังหาฯ ในจังหวัดนนทบุรีที่เคยเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของคนกรุงเทพฯ จะเกิดการแช่แข็ง และทำให้ที่อยู่อาศัยในบริเวณดังกล่าวมีราคาสูงขึ้น จนส่งผลดีกับพื้นที่ปริมณฑลข้างเคียงกรุงเทพฯ อย่างลำลูกกาแทน
ดร. ชัชชาติ มองว่าที่ดินที่น่าสนใจในขณะนี้คือพื้นที่ที่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าสายสีส้มและสายสีเขียว รวมไปถึงที่ดินในบริเวณเขาใหญ่ เพราะในอนาคตอันใกล้นี้จะมีมอเตอร์เวย์สู่โคราช ทำให้การคมนาคมสะดวก สามารถเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปเขาใหญ่ได้ในเวลาไม่เกิน 50 นาที
คุณพีระพงศ์กล่าวว่าสิ่งที่น่ากังวลสำหรับวงการอสังหาฯ ณ ขณะนี้คือ ปัญหาอุปทานส่วนเกิน (Oversupply) และผลกระทบจากภาษีที่ดินฉบับใหม่ในพื้นที่เมืองนนท์ อย่างไรก็ตาม อุปทานส่วนเกนนั้นจะเกิดขึ้นเฉพาะบางช่วง และจะบรรเทาลงไปตามกาลเวลา และเกิดขึ้นกับคอนโดที่ราคาต่ำกว่าล้านเป็นส่วนใหญ่ สำหรับความกังวลในเรื่องที่ว่าภาษีที่ดินฉบับใหม่จะส่งผลกระทบต่อวงการอสังหาฯ มากน้อยแค่ไหนนั้น คุณพีระพงศ์มีคำตอบว่า ขณะนี้เจ้าของที่ดินเริ่มขายที่ดินออกสู่ตลาดเยอะขึ้นเพราะกลัวเรื่องภาษีที่ดิน ภาษีและกฎหมายใหม่จะเป็นตัวกระตุ้นให้เจ้าของที่ดินคิดหาทางผันที่ดินของตนให้เกิดดอกออกผลเพื่อนำมาจ่ายภาษี ไม่ว่าจะเป็นการจะพัฒนา การปล่อยเช่า หรือการขายทอดสู่ตลาด ยกตัวอย่าง เช่น ปั๊มน้ำมันหลายแห่งในกรุงเทพฯ ซึ่งอยู่ในทำเลดีและมีราคาสูง ต้องปรับพื้นที่เพื่อเสริมกิจการอื่นๆ เข้ามา เพื่อสู้กับโรงสร้างภาษีใหม่ เช่นเดียวกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ได้รับที่ดินเป็นมรดกก็ต้องหาทางสร้างมูลค่าที่ดิน หากไม่ได้เปลี่ยนมือเจ้าของก็ต้องนำมาให้เช่าในระยะยาว หรือพัฒนาให้เป็นพื้นที่สำหรับการใช้งานแบบผสมผสาน (Mixed Use) Serviced Apartment หรือ Boutique Hotel เพื่อให้สามารถรองรับการจ่ายภาษีที่ดินได้
ดร. ชัชชาติเน้นย้ำว่า ขณะนี้เป็นโอกาสดีของผู้บริโภคที่มีตัวเลือกด้านอสังหาฯ และการลงทุนให้เลือกมากมาย ทั้งการซื้อคอนโดมาปล่อยเช่า และการลงทุนผ่านทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) อีกทั้งการกู้เงินสำหรับอสังหาฯ ก็ทำได้ง่ายขึ้น สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือต้องศึกษาหาข้อมูลให้ดี อาศัยแพลตฟอร์มต่างๆ ในการหาข้อมูล และเลือกซื้อ เลือกลงทุนอย่างรอบคอบตามความเหมาะสม เพราะการลงทุนด้านอสังหาฯ ไม่มีสูตรสำเร็จ ก่อนลงทุนควรลงไปสำรวจพื้นที่ดูก่อน เพื่อประเมินกำไรส่วนเกินทุน (Capital Gain) ที่จะได้มา อุปสงค์ ทำเล แหล่งงานโดยรอบพื้นที่ ภาพรวมของตลาด รวมไปถึงต้นทุนอื่นๆ เช่น ค่าส่วนกลาง เพื่อให้ได้ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าที่น่าพอใจที่สุด ส่วนสำหรับผู้ประกอบการที่ทำอสังหาฯ ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพเป็นหัวใจสำคัญ เพราะปัจจุบันลูกค้าส่วนมากที่ซื้ออสังหาฯ ได้รับอิทธิพลจากการบอกต่อมากขึ้น เพราะเป็นช่องทางที่สะท้อนถึงคุณภาพและความประทับใจที่ลูกค้ามีต่อผู้ประกอบการในภาพรวมได้ดีที่สุด
นับเป็นบริการที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสาระความรู้ สำหรับสมาชิก SCB Private Banking, SCB FIRST และ SCB PRIME ที่จะได้เข้ามาสัมผัสกับประสบการณ์การบริหารความมั่งคั่งและฟังก์ชันสำหรับนักลงทุนอย่างครบครัน ที่ SCB Investment Center ด้วยความเข้าใจกลุ่มลูกค้าระดับบนอย่างถ่องแท้ว่าบุคคลกลุ่มนี้ต่างมีแพชชั่นในการต่อยอดความสำเร็จผ่านการลงทุน และอำนาจแห่งความสำเร็จด้านการลงทุนที่แท้จริงก็คือความรู้ด้านการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงข่าวสารข้อมูลระดับโลก การวางกลยุทธ์การลงทุนที่เฉียบขาดแบบวินาทีต่อวินาที รวมทั้งการมีเทคโนโลยีด้านการลงทุนในมือ ซึ่งทุกองค์ประกอบเหล่านี้มีอยู่ที่ SCB Investment Center เปิดให้บริการ 4 แห่ง ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 5 เซ็นทรัล พลาซ่า พระราม 2 ชั้น G เซ็นทรัล พลาซ่า นครราชสีมา ชั้น 3 และเซ็นทรัล พลาซ่า ขอนแก่น ชั้น 2
นอกเหนือจากการสัมมนาเจาะลึกเรื่องการลงทุนที่มาเป็นซีรี่ย์ตอบโจทย์ความต้องการทุกรูปแบบของนักลงทุนแล้ว ทาง Terra BKK ยังได้เข้าไปสัมผัสกับไฮไลต์ของบริการที่ SCB Investment Center ที่ประกอบไปด้วย การให้คำแนะนำด้านการบริหารความมั่งคั่งจากผู้เชี่ยวชาญ การสร้างพื้นที่ให้บริการด้านการลงทุนแบบครบวงจรในรูปแบบที่ทันสมัยภายใต้บรรยากาศแบบ Co-Investment Space ครั้งแรกของเมืองไทย โดยใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าในด้านต่างๆ อาทิ “Digital Wall” ที่จะอัพเดทข้อมูลด้านการเงิน การสัมมนาและกิจกรรมเอ็กซ์คลูซีฟ รวมทั้งบอกเล่าเคล็ดลับและเรื่องราวแห่งแรงบันดาลใจในการลงทุน หรือจะเป็น “Self-Learner: Touch Screen” ที่พร้อมสร้างแรงบันดาลใจรวมไปถึงประสบการณ์อันทันสมัยในการหาข้อมูลเกี่ยวกับตลาด ผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุน รวมถึงจองบริการต่างๆ ภายใน SCB Investment Center ได้ด้วยตัวเอง พร้อมทั้งยังมีบริการสุดล้ำอื่นๆ ที่เป็นภายใน SCB Investment Center ได้แก่
- บริการปรึกษาด้านการลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญผ่านระบบ VDO Conference ที่สามารถนัดผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงาน CIO (Chief Investment Officer) ซึ่งเป็นหน่วยงานให้คำแนะนำปรึกษาด้านการลงทุน, บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM) และบล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) ได้แบบตัวต่อตัว เพื่อตอบข้อสงสัยด้านการลลทุนทุกรูปแบบ รวมไปถึงการแก้ไขพอร์ตลงทุนส่วนตัวอีกด้วย
- บริการห้องนักลงทุนที่ตอบสนองนักลงทุนทั้งหน้าใหม่ไปจนถึงมืออาชีพด้วยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการลงทุนที่ครบครันพร้อมโปรแกรมวิเคราะห์หุ้นแบบเรียลไทม์ที่ทันสมัยเทียบเท่ากับห้องเทรดมาตรฐานสากล
- บริการห้องประชุมอันทันสมัยเพื่อความสะดวกสบาย และความเป็นส่วนตัวในการสนทนา ปรึกษางานต่างๆ สำหรับสมาชิกหรือกลุ่มคู่ค้าธุรกิจของสมาชิก หรือสามารถประชุมกับผู้ดูแลบัญชีส่วนตัว
- บริการตู้นิรภัยระบบ biometric แห่งแรกของธนาคารไทยที่ให้บริการด้วยการยืนยันตัวตนผ่านม่านตาและลายนิ้วมือ พร้อมด้วยรหัส (PIN) ที่ไม่ต้องยุ่งยากแบบระบบกุญแจแบบเดิมอีกด้วย
ขอปิดท้ายอีกสักนิดด้วยปฏิทินงานสัมมนาด้านการลงทุนของ SCB Investment Center ที่ไม่ใช่เพียงแต่จะมีเฉพาะหัวข้อด้านอสังหาฯ เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงรูปแบบการลงทุนที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านหุ้น กองทุน ภาษี หรือการลงทุนทางเลือกต่างๆ จากเหล่ากูรูระดับท็อปของประเทศ สมาชิก SCB Private Banking, SCB FIRST, และ SCB PRIME ที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งงานสัมมนาได้ที่ https://investmentcenter.scb.co.th
ขอบคุณข้อมูลจาก investmentcenter.scb.co.th