ผ่อน 0% ช่วยให้เราใช้จ่ายได้สบายขึ้นจริงๆ หรอ?
ทุกคนที่ใช้บัตรเครดิตต้องรู้จักคำนี้ดีกันอย่างแน่นอน ซึ่งคำที่ว่าก็คือ “ ผ่อน 0% ” นั่นเอง และบางคนสนใจที่จะสมัครบัตรเครดิตก็เพราะต้องการจะผ่อนสินค้านี่แหล่ะ และการ ผ่อน 0% ได้นี่แหล่ะ ที่ทำให้พวกเราตัดสินใจซื้อสินค้าต่างๆ ได้ง่ายๆ เพราะไม่ต้องจ่ายทีเดียวทั้งหมด แต่ค่อยๆ แบ่งจ่ายตามจำนวนเดือนที่กำหนดได้ ทำให้คนที่ไม่เคยใช้บัตรเครดิตก็จะเริ่มใช้เพราะสามารถช่วยใช้จ่ายได้ เมื่อเริ่มใช้ก็หมายถึงเริ่มแบกรับความเสี่ยงในการเป็นหนี้ไว้แล้ว ซึ่งหากว่าเราใช้อย่างมีวินัยการเงินที่ดีก็คงไม่ต้องกังวลอะไร แต่หากว่าเรามีวินัยการเงินที่ไม่ดี อันนี้คงต้องกังวลมากหน่อยเพราะการเป็นหนี้จะเริ่มเข้าใกล้เรามาเรื่อยๆ นั่นเอง ดังนั้นเมื่อมีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเราก็ควรที่จะมีวินัยการเงินที่ดีในการจ่ายคืนด้วย
นอกจากนี้การผ่อน 0%ยังมีรายละเอียดต่างๆ ที่ต้องระวังให้ดีอยู่อีก วันนี้ MoneyGuru.co.th ก็ได้รวบรวมข้อมูลส่วนนี้มาฝากกัน เพื่อจะได้รู้ว่าผ่อน 0%ช่วยให้เราใช้จ่ายได้สบายขึ้นจริงๆ หรอ? ว่าแล้วก็ไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง
ก่อนผ่อน 0% อย่าลืมดูให้ดีว่าดอกเบี้ย 0% จริงๆ ไหม?
สมัยนี้อะไรๆ ก็ผ่อนได้แทบทั้งนั้น แถมโปรโมชั่นผ่อน 0%ก็มีให้เห็นไม่ขาดสาย ยิ่งช่วงนี้ใกล้ปีใหม่ยิ่งเจอได้บ่อยในร้านค้าต่างๆ ที่ต้องการกระตุ้นยอดขายของร้านขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่จะซื้อสินค้านั้น เราต้องไม่ลืมที่จะดูให้ดีว่าผ่อน 0%จริงๆ ไหม บางครั้งเป็นผ่อน 0.80% ซึ่งก็คือมีดอกเบี้ยในการผ่อนนะครับ แต่มีอยู่ในระดับน้อย แต่หากเป็นสินค้าราคาสูงๆ ดอกเบี้ยแค่ 0.80% เมื่อคิดเป็นตัวเลขก็ถือว่ามากได้อยู่ทีเดียว ดังตัวอย่างการคำนวณด้านล่างนี้ครับ
ตัวอย่างการคำนวณอัตราดอกเบี้ยที่ 0.80%
- สินค้าราคา 25,000 บาท
- ผ่อนด้วยอัตราดอกเบี้ย 80% ต่อเดือน
- ระยะเวลาการผ่อน 10 เดือน
ค่าสินค้าที่ต้องผ่อนจ่ายเป็นรายเดือน คือ 25,000 / 10 เดือน = 2,500 บาท
อัตราดอกเบี้ยที่เราต้องจ่ายต่อเดือน คือ 25,000 x 0.80% = 200 บาท
รวมเงินต้นและดอกเบี้ยที่เราต้องผ่อนจ่ายต่อเดือน คือ 2,500 + 200 = 2,700 บาท
เมื่อผ่อนครบ 10 เดือนราคาสินค้ารวมดอกเบี้ย คือ 2,700 x 10 = 27,000 บาท
รวมดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจนครบ 10 เดือน คือ 200 x 10 = 2,000 บาท
(ขอบคุณข้อมูลจาก : Tesco Lotus)
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่าผ่อน 0% กับผ่อน 0.80% นั้นมีส่วนที่เราต้องจ่ายต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว ดังนั้นก่อนการซื้อทุกครั้งควรเช็คให้ดีนะครับ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง
ผ่อน 0%ได้กี่เดือน?
ผ่อนจ่าย 0% ได้กี่เดือนนั้นให้ดูจากโปรโมชั่นที่เราสนใจได้เลยครับ ว่าระบุเงื่อนไขไว้อย่างไร ปกติระยะเวลาการผ่อนจะประมาณ 3 – 12 เดือน แต่ก็มีข้อที่ควรดูให้ดีก็คือ ผ่อน 0%ตลอดระยะเวลาที่เราจะผ่อนหรือไม่ เพราะในบางสินค้าอาจจะผ่อนแบบมีเงื่อนไขโปรโมชั่นไม่เสียดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 เดือน 6 เดือน โดยสินค้าที่มักจะเจอแบบนี้จะเป็นสินค้าที่มีมูลค่ามากๆ เช่น บ้าน คอนโด เป็นต้น
ซึ่งนี่แหล่ะถือเป็นกับดักชั้นดีเลยทีเดียว เพราะว่าเป็นสินค้าที่มีมูลค่ามาก มีดอกเบี้ยเยอะ จึงทำให้การได้ลดหย่อนดอกเบี้ยลงบ้าง หรือไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยในระยะเวลาสั้น ถือเป็นเรื่องที่เราช่วยให้เราตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นเลยทีเดียว และที่บอกว่าเป็นกับดักก็เพราะว่าเราไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยในตอนต้นก็จริง แต่สุดท้ายเมื่อพ้นระยะเวลาโปรโมชั่นเราก็ยังต้องจ่ายดอกเบี้ยที่เหลืออยู่ดี จนกว่าจะผ่อนครบจำนวนนั่นเอง
ผ่อน 0%แล้วต้องผ่อนนานขึ้นไหม?
สินค้าบางประเภทก็มีระยะเวลาที่เราต้องผ่อนนานขึ้น หากว่ามีเงื่อนไข 0% เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น รถยนต์ ที่มีโปรโมชั่น ดาวน์ 0% ซึ่งหากเราซื้อรถยนต์ด้วยโปรโมชั่นนี้ก็จะส่งผลให้เราต้องจ่ายค่าผ่อนต่อเดือนที่สูง รวมถึงระยะเวลาการผ่อนที่นานขึ้น และด้วยระยะเวลาการผ่อนที่นานขึ้นนี้ก็จะทำให้เราต้องเสียดอกเบี้ยมากขึ้นด้วยเช่นกัน สาเหตุเพราะเราไม่มีการวางเงินดาวน์นั่นเอง
ซึ่งหากเทียบกับการที่ซื้อรถยนต์แบบมีการวางเงินดาวน์ แล้วจะพบว่าแบบมีเงินดาวน์นั้นเราต้องจ่ายค่าผ่อนต่อเดือนที่ต่ำกว่าแบบไม่มีเงินดาวน์พอสมควร และระยะเวลาในการผ่อนก็น้อยกว่า ดอกเบี้ยก็น้อยกว่าเช่นกัน เพราะว่าเรามีการวางเงินดาวน์จ่ายเงินค่ารถบางส่วนไปแล้วนั่นเอง ซึ่งวิธีการวางเงินดาวน์ก็มีข้อเสียตรงที่เราต้องมีเงินหลักแสนไปวางดาวน์ หากใครไม่มีเงินก้อนนี้ก็จะไม่สามารถซื้อรถได้ ดังนั้นทางสถานบันการเงินจึงออกโปรโมชั่นดาวน์ 0% มาเพื่อรองรับในส่วนนี้นั่นเอง
แต่ในตอนท้ายที่สุดหากเราลองคำนวณดอกเบี้ยดูก็จะรู้ว่าการซื้อรถยนต์แบบดาวน์ 0% นั้นจะทำให้เราต้องจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าการนำเงินไปวางดาวน์เสียอีก
หวังว่าจากสามข้อที่เรานำมาเสนอในวันนี้ จะช่วยให้ทุกคนๆ เลือกที่จะผ่อน 0% ให้เราจ่ายได้สบายขึ้นจริงๆ และข้อสำคัญคืออย่าผ่อนจนเกินกว่าที่เราจะจ่ายไหวนะครับ ไม่อย่างนั้นหนี้สินจะถามหาเอา
ขอบคุณข้อมูลจาก www.moneyguru.co.th