กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ใครว่าดี? งานนี้อาจมีโรคแฝง!!
“น้ำหนักตัว” ยังคงเป็นปัญหาอันดับต้นๆ ที่น่าหนักใจสำหรับใครหลายๆ คน เพียงแค่เผลอตามใจปากนิดหน่อย น้ำหนักก็พุ่งพรวดขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนใจหาย ทำให้ต้องไป เบิร์นไขมัน เข้าคอร์สออกกำลังกายอย่างเร่งด่วนก่อนจะใส่กางเกงตัวเก่งไม่ได้
ต่างจากใครบางคนที่ กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน จัดบุฟเฟ่ต์ด้วยกันก็บ่อยทำไมน้ำหนักไม่ขึ้นสักที เจอแบบนี้ไป ยังไงก็ต้องอิจฉากันใช่ไหมละคะ แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ!! อย่าเพิ่งอิจฉาคนที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนไป เพราะแท้จริงแล้วพวกเขาเหล่านี้อาจกำลังประสบปัญหาสุขภาพอยู่ก็เป็นได้
กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน เสี่ยงป่วยเป็นโรค!
พญ.นพวรรณ กิติวัฒน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคระบบต่อมไร้ท่อ ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า
การกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนนั้นค่อนข้างน่าเป็นห่วง เนื่องจากคุณอาจจะมีปัญหาสุขภาพโดยที่ไม่รู้ตัวได้
งานนี้ต้นตอที่ทำให้บุคคลเหล่านั้นกินเท่าไร่ก็ไม่อ้วนมันเกิดจากอะไร rabbit finance หาคำตอบมาให้แล้วค่ะ
1. พยาธิ
ปรสิตชนิดหนึ่งที่คอยแย่งอาหารในร่างกาย หากในร่างกายของคุณมีพยาธิอยู่เป็นจำนวนมาก นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนขึ้นได้ค่ะ เบื้องต้นเราสามารถสังเกตอาการของคนที่มีพยาธิในร่างกายได้ง่ายๆ ดังนี้ มีอาการปวดท้องอยู่เป็นประจำ ท้องเสียบ่อย และกินอาหารมากเท่าไหร่น้ำหนักก็ไม่ขึ้นเพิ่ม
ถ้าใครกำลังมีอาการเหล่านี้อยู่ อันดับแรกอาจจะต้องไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาพยาธิในลำไส้ค่ะ โดยแพทย์อาจจะให้ลองกินยาถ่ายพยาธิดูก่อน แล้วค่อยเช็คว่ายังมีอาการกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนอยู่ไหม หากยังมีอาการนี้อยู่อาจจะต้องเช็กสาเหตุอื่นกันต่อไป
2. ขาดสารอาหาร
ในกรณีนี้อาจเกิดขึ้นจากการที่คุณเป็นคนรักสุขภาพแบบผิดๆ เน้นกินแต่ผักผลไม้เป็นส่วนใหญ่ พยายามหลีกเลี่ยงแป้งและเนื้อสัตว์ จนทำให้ร่างกายไม่ได้รับโภชนาการที่เหมาะสม ซึ่งการทำแบบนี้นอกจากจะส่งผลให้มีอาการกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนแล้ว อาจทำให้มีอาการอ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรงผสมได้ด้วยเช่นกัน3. ไทรอยด์เป็นพิษ
ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ หรือไฮเปอร์ไทรอยด์ เกิดจากความบกพร่องของต่อมไทรอยด์ทำให้ระดับฮอร์โมนส์ต่อมไร้ท่อในร่างกายกระตุ้นระบบเผาผลาญเกินความจำเป็น ส่งผลให้คุณรู้สึกหิวบ่อย กินจุ แต่ไม่อ้วนขึ้น หากปล่อยทิ้งไว้นานๆ จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ นอนไม่หลับ หัวใจเต้นแรง ท้องเสียได้ง่าย ที่ร้ายแรงที่สุดอาจทำให้เป็นโรคกระดูกพรุนได้ด้วย
4. กลุ่มอาการชีแฮน (Sheehan Syndrome)
เป็นกลุ่มอาการชนิดหนึ่งมักเกิดขึ้นกับคุณแม่หลังคลอด ที่มีอาการตกเลือดอย่างรุนแรงระหว่างคลอดบุตร ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงต่อมใต้สมองไม่เพียงพอจนเกิดการทำงานที่ผิดปกติ ทำให้มีอาการอ่อนเพลีย คิดช้า และซูบผอมในบางรายได้
โดยคุณแม่บางคนอาจจะมีอาการชีแฮนได้หลังคลอดบุตรไม่กี่วัน หรือบางคนอาจจะคลอดบุตรผ่านมาแล้วหลายปีแต่เพิ่งตรวจพบก็มีค่ะ
5. เบาหวาน
โรคเรื้อรังชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เบื้องต้นอาการ โรคเบาหวาน ในระยะแรกอาจสังเกตได้ว่าผู้ป่วยสามารถกินอาหารได้มากขึ้นแต่น้ำหนักไม่เพิ่มตามสักเท่าไหร่ พร้อมกันนี้จะมีอาการปัสสาวะบ่อย น้ำหนักตัวลดลงได้
เนื่องจากในร่างกายของผู้ป่วยเบาหวานจะมีระดับอินซูลินในเลือดสูงค่ะ เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลก็จะขับออกผ่านทางปัสสาวะ ส่งผลให้ไตทำงานหนัก ร่างกายเกิดกระบวนการเผาผลาญแคลอรี่มากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
6. วัณโรค
โรคติดต่อชนิดหนึ่งที่เกิดจาก การติดเชื้อแบคทีเรียอย่างรุนแรง สามารถติดต่อกันผ่านทางอากาศได้ด้วยการหายใจ การจาม การไอ และการอยู่ร่วมกับผู้ป่วยวัณโรคติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งการป่วยเป็นวัณโรคจะทำให้เรามีไข้ต่ำ เหนื่อยง่าย และน้ำหนักลดลง หากมีอาการนี้ต้องรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วนค่ะ
7. ลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD)
เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยนัก แต่เมื่อเป็นโรคนี้แล้วจะต้องเข้ารับการหาสาเหตุให้แน่ชัด เนื่องจากไม่สามารถหายเองได้ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังมักมีอาการท้องเสียเป็นหลัก
บางรายอาจมีอาการอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ขาดสารอาหาร ไม่มีแรง อุจจาระเป็นเลือด และน้ำหนักลดลง ถ้าใครกำลังมีอาการนี้อยู่ การเข้าพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย
8. มะเร็ง
กลุ่มของโรคที่เกิดจากการที่เซลล์ของร่างกายมีความผิดปกติ ส่งผลให้เซลล์ร่างกายมีการเจริญเติบโต แบ่งตัวเพิ่มจำนวนเซลล์อย่างรวดเร็ว จนทำให้มีอาการก้อนเนื้อโตขึ้น
นอกจากนี้ ผู้ป่วยมะเร็งจะมีอาการท้องผูกสลับกับการท้องเสีย ที่สำคัญในช่วง 6 เดือนแรกน้ำหนักตัวจะลดลงค่อนข้างเห็นได้ชัด และอาจจะลดลงไปจากน้ำหนักเดิมถึง 10 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
และนี่ก็คือ 8 ต้นตอที่ทำให้คุณกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนค่ะ งานนี้ใครที่อยู่ๆ กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน rabbit finance ว่าต้องลองไปปรึกษาแพทย์กันหน่อยแล้วล่ะ กันไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย ส่วนใครที่ตั้งแต่เล็กจนโตกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนเราขอบอกเลยค่ะว่ายินดีด้วย เพราะร่างกายของคุณนั้นมีระบบเผาผลาญที่ยอดเยี่ยมมากนั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก rabbitfinance.com