อย่างที่ทราบกันดีว่าหลอดไฟ LED หรือ Light Emitting Diode นั้นในปัจจุบันถูกนำมาใช้งานกันอย่างแพร่หลาย เพราะข้อดีของมันก็คือความทนทานต่อการใช้งาน ที่มีอายุการใช้งานได้ยาวนานถึง 10 ปี และมีอัตราการกินไฟต่ำมากเป็นพิเศษ

          แต่สิ่งที่หลายคนยังไม่เข้าใจหรือยังไม่รู้ ก็คือ เราควรเลือกใช้หลอดไฟ LED อย่างไร ให้เหมาะสมกับการใช้งานในบ้านของคุณ ฉะนั้น วันนี้ rabbit finance จึงมีหลักการง่ายๆ 7 ข้อ มาฝาก สำหรับมือใหม่เรื่องหลอดไฟกัน

          ข้อดี / ข้อเสีย ของหลอดไฟ LED (H2)

          ก่อนที่เราจะพาเพื่อนๆ ไปดูเทคนิคการเลือกหลอดไฟ LED เราขอคั่นรายการด้วยการพาเพื่อนๆ มาดูข้อดีข้อเสียของหลอดไฟ LED กันก่อน เพื่อประกอบการพิจารณาซื้อค่ะ

          ข้อดี ของหลอดไฟ LED (H3)

  • ประหยัดพลังงาน เพราะให้แสงสว่างมาก แต่ใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าหลอดไส้ทั่วไป 80-90%
  • มีอายุการใช้งานที่ยาวนานสูงสุด 1 แสนชั่วโมง หรือ 11 ปี ต่างจากหลอดไส้ทั่วไปที่มีอายุการใช้งานแค่ประมาณ 1 พันชั่วโมง
  • มีความทนทานสูง เพราะไม่มีไส้หลอดที่อาจขาดได้ง่ายเหมือนหลอดไฟทั่วไป และไม่มีกระจกเป็นส่วนประกอบจึงไม่แตกง่ายด้วย
  • เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะไม่ใช้สารปรอทเป็นส่วนประกอบ
  • สามารถสว่างได้อย่างรวดเร็ว เปิดใช้งานแล้วหลอดไฟติดทันที ไม่มีการกระพริบ

          ข้อเสีย ของหลอดไฟ LED (H3)

  • มีราคาแพงกว่าหลอดไส้ หรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ทั่วไป
  • หากไม่ได้ใช้งานนานๆ หรือบ่อยๆ อาจประหยัดพลังงานได้ไม่คุ้มกับราคาค่าหลอดไฟ LED

          7 เทคนิค เลือกหลอดไฟ LED ให้เหมาะกับการใช้งาน (H2)

  • เลือกระดับความสว่างที่ต้องการ (H3)

          ระดับความสว่างนั้น จะวัดจากปริมาณแสงที่เรียกว่า ลูเมน (lm) ยิ่งลูเมนมีตัวเลขมากเท่าไหร่ ระดับความสว่างก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งคุณสามารถเปรียบเทียบค่าลูเมนของหลอดไฟแต่ละรุ่นได้ และเลือกได้ตามความต้องการใช้งานเลยค่ะ

  • เลือกจากลักษณะขั้วหลอดไฟ (H3)

          ขั้นตอนนี้ไม่ยาก ใช้แค่ Skill การสังเกตเท่านั้น เพราะถึงแม้ว่าขั้วมาตรฐานที่ใช้กับโคมไฟจะมีหลายรูปแบบแตกต่างกันไปตามการใช้งาน แต่หากคุณสังเกตดีๆ คุณก็จะรู้ว่าขั้วหลอดไฟแบบนี้จะใช้งานกับโคมไฟแบบใด

  • เลือกแสงของหลอดไฟ (H3)

          ส่วนใหญ่แล้วแสงของหลอดไฟจะมี 2 แสง คือ แสงนวล (WarmWhite) และแสงขาว (Day light) ซึ่งแสง 2 แบบนี้สามารถสร้างบรรยากาศที่แตกต่างกันได้

          โดยหลอดไฟ LED แสงนวลจะให้แสงนวลตา และให้ความรู้สึกอบอุ่น เหมาะแก่การพักผ่อน ในขณะที่หลอดไฟ LED แสงขาวนั้นเหมาะกับการใช้งานในบริเวณที่ต้องการแสงสว่างมากๆ อย่างเช่น สตูดิโอ เป็นต้น

  • เลือกตามความใสของตัวหลอดไฟ (H3)

          หลอดไฟ LED นั้นจะมีทั้งหลอดขาวขุ่นที่ให้แสงสม่ำเสมอ และหลอดใสสำหรับโคมไฟบางประเภท ที่ออกแบบมาให้สร้างลวดลายบนผนังยามเปิดไฟได้ ซึ่งแน่นอนว่า คุณชอบแบบไหนก็เลือกแบบนั้นเลยจ้า

  • เลือกว่าต้องใช้กับสวิตช์หรี่ไฟหรือไม่ (H3)

          หลอดไฟ LED นั้นจะมีทั้งชนิดที่หรี่ไฟได้ (dimmable) และชนิดที่หรี่ไฟไม่ได้ (non dimmable) ซึ่งสังเกตได้ไม่ยากค่ะ เพราะส่วนใหญ่จะถูกระบุไว้อย่างชัดเจนบนบรรจุภัณฑ์อยู่แล้ว

  • เลือกจากรูปทรงหลอดไฟ (H3)

          ปัจจุบันหลอดไฟ LED ถูกผลิตออกมาให้สามารถใช้แทนหลอดประเภทอื่นได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ ดังนั้นตัวหลอดไฟจึงมีรูปทรงหลากหลายให้เลือกสรรมากมายตามความพึงพอใจ และตามลักษณะการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นสำหรับใช้ในบ้าน หรือนอกบ้าน

  • เลือกมุมกระจายแสง (H3)

          โดยปกติแล้วธรรมชาติของแสงจากหลอดไฟ LED จะเป็นแสงแบบพุ่งตรง ไม่ฟุ้งกระจาย แต่คุณสามารถเลือกระดับความฟุ้งกระจายของแสงได้จากรีเฟลกเตอร์ ของโคมไฟแต่ละรุ่น ซึ่งมีองศาแตกต่างกัน

          โดยมีหลักการง่ายๆ คือ หากต้องการให้แสงฟุ้งกระจายมากๆ ก็เลือกโคมไฟที่มีองศากว้างๆ นั่นเอง อ่านจบถึงตรงนี้ เพื่อนๆ คงอยากไปซื้อหลอดไฟมาเปลี่ยนโคมไฟที่บ้านกันแล้วใช่ไหมล่ะ ซึ่งเราขอบอกเลยว่า ไปซื้อมาเปลี่ยนด่วนๆ เลยค่ะ เพราะหลอดไฟแบบ LED นั้นมีความทนทาน คุ้มค่าคุ้มราคาจริงๆ อีกทั้ง ราคาของหลอดไฟ LED ก็เริ่มต้นแค่ 100 บาทเท่านั้นเอง ! (ราคาของหลอดไฟ LED จะแตกต่างกันไปตามยี่ห้อ และจำนวนวัตต์)

ขอบคุณข้อมูลจาก www.rabbitfinance.com