เมื่อไม่นานมานี้ เราได้ยินเกี่ยวกับการเลิกการจำกัดขอบเขตการบริโภคคอเลสเตอรอลจากแนวทางการบริโภคอาหารสำหรับชาวอเมริกัน (Dietary Guidelines for Americans) ตอนนี้เราจะมารับรู้เกี่ยวกับข้อแนะนำใหม่ในการเติมน้ำตาลในอาหารของเรา ทั้งจากกรรมการจากแนวทางการบริโภคอาหารและองค์กรอนามัยโลก (World Health Organization หรือ WHO) องค์กรต่างๆ ไม่เคยกล่าวถึงประเด็นการเติมน้ำตาลในอาหาร (WHO เรียกน้ำตาลเหล่านี้ว่า "น้ำตาลอิสระ" ซึ่งหมายถึงน้ำตาลที่ไม่ได้มีอยู่แล้วในวัตถุดิบ แต่เป็นน้ำตาลที่เติมเข้ามาเพิ่ม) จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้

          อย่างไรก็ตาม เมื่อหลักฐานต่างๆ เริ่มชี้ว่าน้ำตาลน่าจะเป็นปัจจัยเสริมช่วยทำให้เกิดโรคอ้วนและโรคอื่นๆ ผู้คนก็เริ่มให้ความสนใจกับประเด็นนี้มากขึ้น อย่างที่ทุกคนรู้ อาหารที่ผ่านการแปรรูปส่วนใหญ่มีน้ำตาลเพิ่มเข้ามาและยิ่งเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป นี่ไม่เพียงแต่จะทำให้คนรู้สึกชินกับอาหารหวาน แต่ยังทำให้การเลี่ยงการทานอาหารที่เพิ่มน้ำตาลเป็นเรื่องที่ยากอีกด้วย นี่คือสิ่งที่องค์กรสุขภาพหลักๆ กำลังพูดถึงเกี่ยวกับน้ำตาลเหล่านี้

องค์กรอนามัยโลก (WHO)

          คำแนะนำล่าสุดขององค์กรอนามัยโลก (มีนาคม ปี ค.ศ. 2015) กล่าวไว้ว่า พยายามบริโภคน้ำตาลที่เพิ่มเข้ามาให้ต่ำกว่า 10% ของแคลอรี่ที่ได้รับและลดให้เหลือ 5% จะเป็นสิ่งที่ดีมาก โดย 10% ก็จะประมาณเป็นน้ำตาล 12 ช้อนชาต่อวัน ในขณะที่ 5% ก็จะมีน้ำตาลประมาณ 6 ช้อนชา ซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะมีน้ำตาลประมาณ 1 ช้อนชา น้ำอัดลมขวด 12 ออนซ์ มีน้ำตาลประมาณ 10 ช้อนชา

แนวทางการบริโภคอาหารของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 2015

          แนวทางการบริโภคอาหารของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 2015 แนะนำให้จำกัดการบริโภคน้ำตาลเพียง 10% ของจำนวนแคลอรี่ (12 ช้อนชาต่อวัน) ถึงแม้ว่าสมาชิกในการร่างต่างยอมรับว่ายิ่งน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี แต่ในทางปฏิบัติแล้วเป็นไปได้ยากที่จะหลีกเลี่ยงน้ำตาล ดังน้ำตัวเลข 10% จึงนับว่าเป็นสิ่งที่ทำได้จริงในผู้คนส่วนใหญ่ แยม 1 ช้อนโต๊ะ มีน้ำตาลเกือบถึง 1 ช้อนโต๊ะ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการเติมเข้าไป ซอสบาร์บีคิว 1 ช้อนโต๊ะมีน้ำตาลประมาณ 2 ช้อนชาขึ้นกับยี่ห้อแต่ใครกินซอสบาร์บีคิวแค่ 1 ช้อนโต๊ะเล่า?

สมาคมหัวใจอเมริกัน (American Heart Association)

          สมาคมหัวใจอเมริกันแนะนำให้บริโภคน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาสำหรับผู้หญิง และ 9 ช้อนชาสำหรับผู้ชาย (ตัวเลขดังกล่าวขึ้นกับปริมาณแคลอรี่ที่บริโภคโดยเฉลี่ย) ส่วนใหญ่คัพเค้กขนาดเล็กมีหน้าเคลือบน้ำตาล (น้อยกว่า 3 นิ้วในแนวขวาง) จะมีน้ำตาลระหว่าง 6-10 ช้อนชา มาการิต้ามิกเซ้อร์ 1/4 ถ้วย มีน้ำตาล 6 ช้อนชา

บทสรุปและสิ่งที่ควรดำเนินการต่อไป

          ในที่สุดเราก็ได้คำแนะนำเกี่ยวกับการบริโภคน้ำตาลจากองค์กรใหญ่ๆ แต่แป้งขัดสีที่มีผลเป็นอย่างมากกับปริมาณน้ำตาลในเลือดและมีสารอาหารน้อยพวกนี้ล่ะ? ตามที่ ดร.เดวิด ลุดวิก กล่าวว่า "คอร์นเฟลคที่ไม่เติมน้ำตาลก็มีน้ำตาลเท่ากันกับนำ้ตาลที่ไม่เติมคอร์นเฟลค" และหวังว่าแนวทางการบริโภคอาหารจะกล่าวถึงเรื่องแป้งขัดสีเหล่านี้ให้มากขึ้นต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก www.honestdocs.co