เงินทองไม่เข้าใครออกใคร ความอ้วนก็เช่นกันว่าไหมคะ อย่างใครที่เคยตัวเล็ก ๆ บาง ๆ อยู่เมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว แต่พอมาส่องกระจกวันนี้และได้เห็นตัวเลขบอกน้ำหนักบนตาชั่ง โอ้ แม่เจ้า ! เราก็มาไกลไม่แพ้ชาติใดในโลกเลย แต่ถึงจะอ้วนขึ้นและยังไม่มีเวลาลดความอ้วนก็ไม่ว่ากันค่ะ ขออย่างเดียว ถ้ารู้ตัวว่าอ้วนขึ้นและไม่อยากพังไปมากกว่านี้ อย่าทำ 10 สิ่งด้านล่างนี่เด็ดขาด

10.ทำใจยอมรับความอ้วน

   อ้วนแล้วก็อ้วนเลยแบบนี้ไม่เวิร์กแน่ ๆ และหากตอนนี้คุณกำลังเหนื่อยใจกับการลดน้ำหนักอยู่ อยากให้ลองตั้งเป้าหมายลดน้ำหนักเล็ก ๆ ให้ตัวเองได้พิชิตก่อน อย่างงดน้ำหวานทุกชนิดเป็นเวลา 2 สัปดาห์ หากคุณทำสิ่งแรกได้ ก็จะมีกำลังใจในการพิชิตเป้าหมายลดน้ำหนักต่อไปเรื่อย ๆ

9.กังวลอยู่กับอาหารที่คนลดน้ำหนักห้ามกินเด็ดขาด

   แทนที่จะมัวกังวลว่าคนไดเอตไม่ควรกินอะไรบ้าง เรามาคิดเมนูอาหารสำหรับคนลดน้ำหนักไม่ดีกว่าเหรอ ไม่ทำให้เครียดแถมยังช่วยให้ได้เพลิดเพลินไปกับการครีเอทเมนูคลีน ๆ ของกินเล่นคลีน ๆ อีกต่างหาก

8.ทนหิว

   การทนหิวไม่ใช่คำตอบของการลดน้ำหนักเลยสักนิดค่ะ เคยได้ยินไหมว่าหากอยากลดน้ำหนักให้แบ่งอาหารออกเป็นมื้อเล็ก ๆ จำนวน 5-6 มื้อ นั่นก็เพื่อบั่นทอนความหิวของเราก่อนถึงเวลารับประทานอาหารมื้อหลัก ฉะนั้นอย่าเก็บสะสมความหิวระหว่างวันไว้เพื่อรอกินทีเดียวในมื้อหลักเลยดีกว่า เพราะไม่เช่นนั้นคุณอาจจะกินอาหารแต่ละมื้อในปริมาณมากกว่าเดิม

7.ลองสูตรลดน้ำหนักเร่งด่วน

   คงจะเคยเห็นสูตรลดน้ำหนักเร่งด่วนด้วยการรับประทานอาหารแบบจำกัดปริมาณและชนิดอาหารเป็นมื้อ ๆ กันใช่ไหมคะ ซึ่งขอเตือนไว้ตรงนี้เลยนะว่าอย่าลองเลยดีกว่า เพราะแม้สูตรนั้นจะช่วยลดน้ำหนักได้จริง แต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น หากคุณเลิกทำสูตรดังกล่าวแล้วกลับมารับประทานอาหารตามปกติ คราวนี้ก็จะเผชิญกับช่วงเวลาของการโยโย่ น้ำหนักตัวพุ่งพรวดกลับมา ณ จุดที่เรียกว่าอ้วน หรือมากกว่าที่เคยหนักมาเลยก็เป็นได้

6.หยุดออกกำลังกาย

   บางรายถอดใจกับการออกกำลังกายลดน้ำหนักไปซะเฉย ๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า ออกกำลังกายมาก็นาน แต่น้ำหนักไม่ลดลงสักที ! แหม…อย่าใจร้อนสิคะ บอกแล้วไงว่าการออกกำลังกายลดน้ำหนักต้องค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งก็แปลว่าต้องใช้เวลากับมันสักหน่อย ฉะนั้นก็สู้ต่อไปค่ะ กว่าน้ำหนักจะมาถึงจุดนี้ได้ นึกดูสิว่าเราก็ต้องสะสมแคลอรีจากการกินมาเป็นระยะหนึ่งเหมือนกันใช่ไหมล่ะ

5.โหมออกกำลังกายหนักเกินไป

   เมื่ออ้วนขึ้นก็ต้องออกกำลังกายลดน้ำหนัก ทว่าควรเริ่มออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไต่ระดับความเหนื่อยไปเรื่อย ๆ แบบนี้จะถือเป็นการออกกำลังกายลดน้ำหนักที่ให้ผลลัพธ์ยั่งยืนกว่า นอกจากนี้ก็ควรต้องควบคุมอาหารไปพร้อม ๆ กันด้วยนะคะ เพราะหากออกกำลังกายหนักแต่ก็กินหนักมากด้วย แบบนี้นอกจากจะไม่ผอมลงแล้ว ยังเสี่ยงต่อความอ้วนต่อเนื่องและโรคภัยเท่าเดิมด้วยนะ ดังที่งานวิจัยเคยเผยว่า เป็นหมูแข็งแรงไม่ช่วย ออกกำลังกายแต่ยังปล่อยให้อ้วน ก็เสี่ยงตายเร็วกว่าคนผอมอยู่ดี

4.หมกมุ่นกับตัวเลขบนตาชั่ง

   เอาจริง ๆ เราจะรู้ตัวว่าอ้วนขึ้นก็ด้วยความอึดอัดของรูปร่างเรานี่แหละ ไม่ใช่ตัวเลขบนตาชั่งหรอก อย่างเหล่าคนออกกำลังกายสร้างกล้ามไงล่ะคะ ที่ยิ่งออกกำลังแต่กลับมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นก็ทำให้เห็นว่าประเด็นไม่ใช่อยู่ที่เราหนักเท่าไรแล้วตอนนี้ แต่เราจะทนอึดอัดกับรูปร่างที่ขยายใหญ่ขึ้นได้ถึงไหน แล้วเมื่อไรจะเริ่มลดหุ่นกันสักทีนั่นต่างหาก

3.ซื้อเสื้อผ้าใหม่ยกตู้ !

   อ๊ะ ๆ ยิ่งเปลี่ยนไซส์เสื้อผ้าก็เท่ากับว่าเปิดโอกาสให้ตัวเองขยายรูปร่างไปอีกเรื่อย ๆ ฉะนั้นหากเสื้อผ้าจะคับแน่นไปบ้างก็อดทนใส่ไปก่อน วิธีนี้จะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและยังเป็นแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ให้เราเริ่มคิดลดน้ำหนักด้วยนะคะ

2.รู้สึกแย่กับรูปร่างตัวเอง

   อ้วนขึ้นใครก็คงไม่แฮปปี้ แต่จะดีกว่าหากอ้วนขึ้นแล้วมีมุมมองด้านบวกกับตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าต้องไม่ใช่ความรู้สึกดีที่มีรูปร่างอวบอ้วนขึ้นแน่ ๆ ทว่ามุมมองด้านบวกที่บอกก็เช่น เกิดแรงบันดาลใจอยากลดน้ำหนักเพื่อกลับไปใส่เสื้อผ้าตัวเก่งที่เคยใส่ได้ หรือถือโอกาสนี้ให้ตัวเองได้ออกกำลังกายลดน้ำหนักอย่างจริงจัง ซึ่งจะได้ผลประโยชน์ด้านสุขภาพโดยรวมของร่างกายที่แข็งแรงขึ้นติดมาด้วย

1.อดมื้อกินมื้อ

   การงดอาหารในบางมื้อไม่ได้ช่วยให้น้ำหนักลดลงสักเท่าไร หนำซ้ำยังอาจทำให้รู้สึกหิวหนักมากในมื้อถัด ๆ ไปอีกต่างหาก นอกจากนี้การงดอาหารยังจะทำให้ระบบเผาผลาญทำงานช้าลง ส่งผลให้มีแนวโน้มจะอ้วนขึ้นมากกว่าเดิม ดังนั้นถึงตอนนี้ตัวจะแตก ก็ควรต้องรับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ ทว่าอาจจะเลือกกินอาหารลดน้ำหนักแทนเมนูอาหารปกติเพื่อช่วยลดน้ำหนักอีกแรงก็ได้

ขอบคุณข้อมูลจาก www.toptenthailand.com