14 มี.ค. 2562  นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงผลการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์เนชันแนล อี-เพย์เมนต์ ว่า โครงการก้าวหน้าหลายโครงการ โดยเฉพาะโครงการพร้อมเพย์ และการขยายการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำแทนการใช้เงินสด ซึ่งปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนพร้อมเพย์ทุกประเภทแล้ว  46.5 ล้านราย และมีปริมาณธุรกรรมทั้งสิ้น 1,100 ล้านรายการ คิดเป็นมูลค่าธุรกรรมทั้งสิ้น 5.8 ล้านล้านบาท และได้มีการติดตั้งอุปกรณ์รับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (อีดีซี) แล้วทั้งสิ้นจำนวน 768,103 เครื่อง

          สำหรับแผนระยะต่อไป ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะดำเนินการตามแผนกลยุทธ์ระบบการชำระเงินฉบับที่ 4 (ปี 2562 – 2564) โดยมุ่งส่งเสริมให้ดิจิทัล เพย์เมนต์ ซึ่งจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินและบริการชำระเงินให้มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย มีราคาถูก และตรงความต้องการของผู้ใช้ทั้งประชาชน ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ และโซเชียล คอมเมิร์ซ รวมถึงธุรกิจเอสเอ็มอี และธุรกิจขนาดใหญ่ให้ลดใช้เงินสดและเช็ค เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ และสร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินของประชาชน


          นอกจากนี้ ในส่วนแผนการพัฒนาระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากมีการพัฒนาการจัดทำและนำส่งข้อมูลใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (อี-แท็กซ์ อินวอยซ์) และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (อี-รีซิฟท์) เพื่ออำนวยความสะดวกและลดขั้นตอนในการจัดทำ รวมทั้งการนำส่งรายงานการทำธุรกรรมทางการเงินและการนำส่งภาษีเมื่อมีการชำระเงินผ่านระบบ อี-เพย์เมนท์แล้ว ในระยะต่อไปกรมสรรพากรจะทำแผนพัฒนาระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับฐานข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้เสียภาษีเพื่อการบริการที่ดีและการแนะนำการเสียภาษีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ


          “การพัฒนาโครงการ อีเพย์เมนท์ภาครัฐ ในระยะต่อไป กรมบัญชีกลางจะผลักดันให้เกิดการขยายการใช้บัตรอย่างครบวงจรและการขยายฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและการโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ โดยบูรณาการข้อมูลกับกระทรวงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์และประเมินผลการจัดสวัสดิการ นอกจากนี้ จะเร่งรัดให้ทุกหน่วยงานใช้งานระบบอีเพย์เมนท์ ในการชำระและรับชำระเงินผ่านช่องทาง คิวอาร์โค้ด” นายลวรณ กล่าว

 

ขอบคุณข้อมูลจาก  www.thaipost.net