วิธีรับมือให้ได้กับอาการ “จิตตก” แค่มีสติ แล้วรีบดึงมันกลับขึ้นมา!!
“จิตตก” เป็นคำที่เราคุ้นหูและมักจะใช้พูดกันเวลาที่มีอะไรมากระทบจิตใจเราแล้วมันทำให้เราเกิดความไม่สบายใจและไม่สามารถจัดการกับปัญหาเหล่านั้นได้จนทำให้เราเกิดความเครียด กดดันหรือรู้สึกวิตกกังวล เกรงว่าสิ่งที่ไม่ดีจะเกิดขึ้น จะมีความเสียหายเกิดขึ้น คิดว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ คิดว่าจะล้มเหลว ทำให้เกิดอาการวิตกกังวล ซึ่งเรารู้ดีค่ะว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่เรายังไม่สามารถจัดการกับความคิดและจิตใจของตัวเองได้ หรือยังไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่กดดันได้มากนัก แต่อย่างไรเสียเราก็ยังคงต้องดูแลเยียวยารักษาใจตัวเองให้ได้อยู่ดี ต้องอย่าไปจมดิ่งลงไปกับปัญหาหรือเหตุการณ์ที่ทำให้จิตตกนาน เพราะหากเรายิ่งจมอยู่กับอาการจิตตกนานเท่าไร เราก็ยิ่งจะสูญเสียโอกาสในการเดินหน้าในชีวิต มากเท่านั้น
แต่ก็ไม่ใช่ว่าในภาวะจิตตกจะไม่มีข้อดีเอาซะเลย มันก็มีอยู่บ้าง เพราะอาการจิตตกมักจะเกิดขึ้นในยามที่เราเจอปัญหา และปัญหานั้นๆ อาจทำให้เรารู้จักเปลี่ยนมุมมองต่อสิ่งต่างๆ กลายเป็นจุดพลิกผันทำให้เราเติบโตและก้าวหน้าขึ้นได้เช่นกัน เราลองมาดูกันว่า เมื่อจิตตก ให้มองในแง่ดี ว่าเราจะได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากเหตุการณ์ที่เจอ แล้วจะทำให้เรามองเห็นทางออกของปัญหามากขึ้น พูดง่ายๆ คือ เมื่อใดที่จิตตกมันทำให้คนเรามีสติมากขึ้นนั่นเอง
เมื่อ “จิตตก” จะเป็นโอกาสให้คนเราได้สำรวจตัวเอง
หลายคนคงเคยมีประสบการณ์การจิตตกแบบไม่มีสาเหตุ รู้ตัวอีกทีใจก็ดิ่งลึกเหมือนหล่นลงไปอยู่ก้นหลุมแถมใช้เวลานานกว่าจะกู้คืนให้ปกติ และด้วยธรรมชาติของมนุษย์แล้วอารมณ์ความรู้สึกสามารถเคลื่อนที่ขึ้นลง เหวี่ยงไปมาได้เสมอ หากมีบางจังหวะที่ความรู้สึกเราดิ่งวูบ หรือที่พูดกันติดปากว่าจิตตก จึงไม่ใช่เรื่องผิดธรรมชาติ และที่สำคัญอาการจิตตกที่เกิดขึ้นนั้นล้วนมีสาเหตุ ในช่วงที่เรารู้สึกว่าจิตใจของตัวเองดาวน์ลงอาจเป็นช่วงที่เราได้นั่งทบทวนตัวเอง เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ลองคุยกับตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญหรือไม่สำคัญของชีวิตอย่างแท้จริง ได้เรียนรู้และฝึกคิดว่าไม่มีอะไรที่เป็นได้ดั่งใจเราไปหมดทุกอย่าง บางทีสถานการณ์หรือเหตุการณ์นั้นๆ ก็ทำให้เรารู้จักการเยียวยา และรักษาตัวเองขึ้นมาใหม่
เมื่อ “จิตตก” ทำให้เรารู้จักฝึกมองปัญหาไปสู่การแก้ไขให้อนาคตดีขึ้นได้
สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มใจหล่นและจิตตกยังไม่ลึก สิ่งสำคัญคือต้องรับรู้ตัวเองก่อนว่ากำลังจิตตก อย่าเพิ่งไปคิดถึงวิธีการรักษา แค่กำลังรับรู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญความรู้สึกอะไรอยู่ก็เป็นคุณสมบัติเบื้องต้นของคนที่มีสุขภาพจิตดีแล้ว ในความเป็นจริงช่วงที่คนเรากำลังจิตตกหรือรู้สึกเฟลกับอะไรบางอย่าง มักจะทำให้คนเรานั้นนึกย้อนไปถึงอดีตที่ผ่านมา เช่น ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราคงแก้ปัญหาแบบนั้นแบบนี้ แล้วก็ผ่านมันมาได้แล้ว ทำให้เอาวิธีนั้นมาใช้กับสถานการณ์แย่ๆ ในปัจจุบัน และทำให้มองไปถึงอนาคตว่าถ้าเรายังมัวจมอยู่กับเรื่องแบบนี้อนาคตเราไม่มีทางมีความสุขแน่
การกระทำแบบนี้เป็นสร้างความคิดในแง่บวกก็ได้ คิดถึงเพื่อนเก่าๆ ก็ลองโทรหา หรือนัดเจอแล้วคุยเรื่องเก่าๆ เวลาเรานึกถึงเรื่องเหล่านั้นเราจะมีความสุขและสนุกมาก ทำให้เกิดอาการยิ้มไม่หุบ ซึ่งอาจสร้างความสนใจให้คนรอบข้างได้ว่า คนอะไรยิ้มคนเดียวได้ อย่าไปสนค่ะ อย่าได้แคร์ นึกถึงตอนไหน ยิ้มแล้วก็สนุกไปในตอนนั้นเลย หรืออาจจะนึกถึงตอนที่ ทำอะไรเปิ่นๆ ฮาๆ แบบว่า เออเนอะ ตอนนั้นก็ทำไปได้ ในช่วงที่คุณแย่ แม้ความสุขจะมีน้อยนิด แต่มันไม่ได้หายไปจากความทรงจำคุณหรอกครับเรื่องสนุกในวันวาน มันต้องมีมากกว่า 1 เรื่องสิน่า
เมื่อ “จิตตก” จะทำให้เรารู้จักมองหาสิ่งที่น่าขอบคุณที่อยู่รอบๆ ตัว
มีคนเคยกล่าวไว้เพราะแท้จริงแล้ว ความเศร้าคือพลังงดงาม ช่วยเปิดโอกาสให้คนเราได้ครุ่นคิดถึงช่วงชีวิตที่ผันผ่าน เพื่อก้าวไปข้างหน้าด้วยจิตใจที่มั่นคง และเมื่อเกิดอาการจิตตกหรือความรู้สึกแย่ๆ กับตัวเอง ให้ลองมองไปรอบๆ ตัว อย่ามัวแต่กล่าวโทษสิ่งต่างๆ อยู่เลย ควรหันมามองให้เจอ เพราะสิ่งที่น่าขอบคุณนั้นมีอยู่มากกว่าสิ่งที่เราคิด เพียงการที่เราได้มีชีวิตอยู่ การมีอวัยวะครบ 32 มีสติสมประกอบ ก็ถือว่าเป็นสิ่งดีที่น่าขอบคุณมากแล้ว ถ้าคิดดีๆ จะพบว่าการก้าวสู่เพื่อให้พ้นความทุกข์ต่างๆ นั้นต้องอาศัยใจกับร่างกายเท่านั้น ถ้าวันนี้เรายังมีลมหายใจ และมีสติตั้งมั่นในการคิดจะก้าวผ่านปัญหาต่างๆ ไป เพียงแค่มีชีวิตอยู่ให้ได้ต่อสู้กับปัญหาก็ดีมากแล้ว
เมื่อ “จิตตก” ทำให้คนเราอยากทำความดีเพื่อความสบายใจมากขึ้น
มีคนอีกจำนวนไม่น้อยในโลกที่ปล่อยให้ความเศร้ากัดกินและทับถมความรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดก็หลุดออกมาจากความเศร้านั้นไม่ได้ และนั่นเป็นสัญญาณของการเดินทางสู่ภาวะซึมเศร้าที่เริ่มต้นขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิด แม้กระทั่งตัวคุณเอง ซึ่งเอาจริงๆ แล้วถ้าคนเราปรับมุมมองและเปลี่ยนความคิดได้ จะเห็นว่าช่วงที่จิตเราตก เรามักจะนึกอยากทำบุญ ทำกุศล นึกถึงสิ่งดีๆ ที่เคยทำมา และได้ลองมีเวลาทบทวนสิ่งดีๆ ที่คิดว่าทำให้ชีวิตผ่านอุปสรรคมาได้จนทุกวันนี้ จนอยากจะย้อนกลับไปทำสิ่งดีๆ นั้นอีกครั้งเพื่อความสบายใจ เพราะขณะที่เราทำบุญ ทำกุศล ทำความดี เรามักจะอธิษฐานขอให้สิ่งดีๆ ที่ได้ทำช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น ที่แน่ๆ เวลาจิตตกหรือไม่สบายใจก็ทำให้คนเราคิดอยากจะทำบุญมากขึ้นนั่นเอง
เมื่อ “จิตตก” ทำให้มีการตั้งสติ และมีสมาธิมากขึ้น
เวลาที่คนเราเกิดอาการจิตตก เศร้าใจ จะท้อแท้สิ้นหวังประดังเข้ามาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว บางคนปล่อยเอาไว้นานจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของความสุขของตัวเอง หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ หรือความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ซึ่งถ้าหากใครตั้งสติได้ก่อนก็ถือว่าได้เปรียบ แต่มีสิ่งหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาจิตตกให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี นั่นคือ การมีสมาธิและตั้งสติกับเรื่องราวที่เจอ ยิ่งถ้าหากเรื่องที่ทำให้เราจิตตกเป็นเรื่องราวที่ทำให้เราอกสั่นขวัญแขวน ลองหลับตา หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ช้าๆ พร้อมส่งความเมตตาปรารถนาดีให้ตัวเอง คือการคิดและภาวนาว่าขอให้ตัวเองมีความสุข ผ่านพ้นเรื่องราวร้ายๆ เหล่านี้ไปได้ หากเราทำแบบนี้บ่อยๆ เชื่อเถอะค่ะว่าสติและสมาธิจะบังเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว เผลอๆ อาจทำให้เราลืมเหตุการณ์ที่ทำให้จิตตกไปเลยก็ได้
เมื่อ “จิตตก” ทำให้เรามองเห็นความปรารถนาดีของคนรอบข้าง
ใครที่กำลังรู้สึกว่าจิตตก ให้หมั่นฝึกฝนและพยายามบอกตัวเองเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าเราจะผ่านพ้นมันไปได้ ขอความช่วยเหลือหรือคำแนะนำจากคนที่เราไว้ใจหรือผู้มีประสบการณ์เพื่อช่วยให้เราสามารถมองเห็นแนวทางในการแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น ลองมองหาสิ่งดีๆ รอบตัว เพื่อหาความดีของคนรอบข้างดู แล้วนึกถึงคนเหล่านั้นที่เคยให้กำลังใจเรา คอยเป็นห่วงเรา พร้อมอยู่เคียงข้างเราในทุกเวลา เช่น เพื่อนคนที่คอยพูดจาให้กำลังใจคนรอบข้างดีจัง คนคนนั้นเป็นคนที่น่าชื่นชมดีจริงๆ เมื่อนึกถึงคนเหล่านั้นเราจะสบายใจ และคิดว่าคนดีๆ ก็ยังอยู่รอบตัวเราเสมอ
คนรอบข้างที่บอกไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือเพื่อนซึ่งเป็นอีกหนึ่งบุคคลสำคัญที่จะเยียวยาและรักษาได้ คือการเป็นผู้ฟังที่ดี ฟังอย่างเป็นกลาง และไม่ตัดสิน พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างด้วยความเข้าใจและเต็มใจ แม้ในหลายๆ ครั้งจะช่วยแก้ปัญหาที่เจอไม่ได้ แต่เชื่อเถอะว่าเขารับรู้ถึงความตั้งใจที่จะช่วยเหลือนั้นได้ และพร้อมจะขอบคุณคุณเสมอที่ไม่เคยทิ้งและอยู่ข้างกันในช่วงเวลาแย่ๆ ที่ผ่านไปอย่างเนิบช้า ให้รู้สึกเดินเร็วขึ้นกว่าเดิม
เมื่อ “จิตตก” จะทำให้เราอยากทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์มากขึ้น
หลังจากที่เดินทางบนเส้นทางแห่งความเศร้ามายาวนาน ถึงเวลาพักร่างกายและจิตใจด้วยการรักษาอย่างถูกวิธี คนเรามักจะมองหาหากิจกรรมที่ดีที่เป็นกุศลทำ การลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อคนอื่นนั้น จะช่วยยกระดับจิตใจเราได้เป็นอย่างดี แต่มีข้อแม้ว่าต้องทำด้วยจิตใจที่เสียสละ เพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่นอย่างแท้จริง โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน แม้แต่การยิ้มอย่างจริงใจให้คนที่เราเดินผ่านในที่ทำงานพร้อมส่งความปรารถนาดีไปให้เขา ก็สามารถยกจิตใจเราให้ดีขึ้นได้แล้ว
อาการจิตตกเป็นอาการที่เกิดขึ้นจากตัวเราเอง ความคิดของเราเอง สิ่งอื่นๆ เป็นเพียงปัจจัยหนุนให้เราคิดมากไปเองเท่านั้น ดังนั้นเราเองก็ต้องเป็นที่พึงของตัวเอง เราประสบเหตุกับจิตของเราเราก็ต้องแก้ที่จิตใจของเราเองก่อน ลองหาเวลานั่งสมาธิ นั่งทบทวนตนเอง และ คอยยํ้าเตือนตนเองเสมอว่า เราเป็นผู้สร้าง เราจะเอามันออกไป คุณเป็นผู้สร้างสรรค์ และนั่นเอง ทำให้คุณเป็นผู้ทำลายได้!!