Big Data คือขุมทรัพย์ของธุรกิจในยุคปัจจุบัน
Big Data คือขุมทรัพย์ของธุรกิจในยุคปัจจุบัน
ปัจจุบันธุรกิจหลายภาคส่วนกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาล จนทำให้คำว่า Big data มีผู้คนสนใจและเป็น Trend ที่กำลังมาแรงอย่างมาก และเชื่อว่าหลายๆ คนที่ทำงานอยู่ในวงการไอที หรือสายงานการตลาดก็ตาม ก็คงได้ยินคำว่า Big data ผ่านหูกันมาบ้างแล้ว เคยเกิดความสงสัยกันบ้างไหมว่า Big data มันคืออะไร วันนี้เราจะมาหาคำตอบกันในรูปแบบที่เข้าใจได้ง่ายๆ กัน
Big data คือฐานข้อมูลทั้งหมดในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลตัวเลขจำนวนเกี่ยวกับประวัติลูกค้า ที่อยู่ จำนวนการสั่งซื้อ ในมีรูปของเปอร์เซ็นต์หรือสถิติ ข้อมูลการวิเคราะห์วิจัย หรือแม้แต่ URLs ก็ล้วนนับเป็น Big data ทั้งสิ้น ในทางธุรกิจ Big data หมายถึงข้อมูลทุกอย่างที่มีอยู่ในบริษัทของคุณ ไล่ตั้งแต่ข้อมูลบริษัท สินค้า ยอดขาย กิจกรรมการตลาด ข้อมูลลูกค้าและข้อมูลของคู่แข่งขัน ที่ธุรกิจสามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุณต้องการ ซึ่งช่วยให้คุณสามารถเข้าใจผู้บริโภคได้มากขึ้น ลดต้นทุนได้ ลดเวลาระยะเวลาดำเนินการ และสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
Big data นั้นมีคุณลักษณะสำคัญอยู่ 4 อย่างคือ ต้องเป็นข้อมูลที่มีจำนวนมากขนาดมหาศาล (Volume) มีความซับซ้อนหลากหลาย (Variety) มักจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา (Velocity) และยังไม่สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลที่สมบูรณ์เพื่อนำมาใช้ในการประกอบการพิจารณาได้ (Veracity)
Source: https://digitalmarketingwow.com
สำหรับประโยชน์ที่จะนำ Big data ไปใช้ มี 3 เรื่องใหญ่คือ (1) ลดค่าใช้จ่าย ช่วยตัดสินใจ สร้างโอกาสให้ธุรกิจ (2) การออกสินค้าหรือบริการใหม่ การมีข้อมูลความสนใจหรือความต้องการของลูกค้าจะทำให้ออกผลิตภัณฑ์ที่ถูกใจลูกค้า ซึ่งองค์กรขนาดใหญ่จะใช้ Big data มาวิเคราะห์ตลาด วิเคราะห์คู่แข่ง และดูพฤติกรรมลูกค้า ว่าสนใจอะไร และใช้วัดเสียงสะท้อนผู้บริโภค (3) การมีข้อมูลทำให้ออกผลิตภัณฑ์ได้รวดเร็วกว่า และถูกใจลูกค้ากว่า เพราะข้อมูล Big data ถือเป็น First hand data ที่ทำให้รู้ความต้องการของสินค้า และเมื่อธุรกิจจะออกสินค้าใหม่ก็สามารถสอบถามความคิดเห็นของลูกค้าในฐานข้อมูลว่ามีความคิดเห็นต่อสินค้าใหม่อย่างไร
การใช้ Big data จะเริ่มจากการรวบรวมข้อมูลเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น Netflix บริษัทผู้ให้บริการดูหนังแบบออนไลน์ ซึ่งประสบความสำเร็จในการใช้ Big data ในการวิเคราะห์ความต้องการดู Content ของผู้บริโภค เนื่องจาก Netflix มีข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคน โดยเอามาจากการให้ Rating หนัง, การค้นหาหนัง, วันที่ดูหนัง, ดูบน Platform อะไร (Laptop, TV, iPad, etc.), กดหยุดดูหนังเมื่อไหร่, รายการที่จะดูกับ Platform ที่ดูตอนนั้นๆ มีการกลับมาดูซ้ำหรือดูต่อให้จบหรือเปล่า โดย Netflix ได้นำข้อมูลเหล่านี้ไปวิเคราะห์เพื่อหาวิธีที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างถูกต้องและแม่นยำเพื่อพัฒนา Content ของเขาให้ดีและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานจนทำให้ Netflix เป็นผู้นำในธุรกิจให้บริการความบันเทิงทางอินเทอร์เน็ตระดับโลกที่มีสมาชิกที่จ่ายเงินรับชมถึง 158 ล้านคนในจำนวนกว่า 190 ประเทศ
สำหรับธุรกิจ E-commerce ที่มีข้อมูลลูกค้าและจำนวนการซื้อขายจำนวนมาก การใช้ Big data จะดีให้ผลดีอย่างไรบ้าง
- ช่วยจัดการกับข้อมูลราคาและตั้งราคาที่เหมาะสม จากตัวอย่างเช่นเว็บไซต์ Amazon ที่มีการประยุกต์ใช้ Big data เข้ามาช่วยในการจัดการกับราคาของผู้ขายรายย่อยในเว็บไซต์ หรือบอกได้ว่าตัวเว็บไซต์ Amazon นั้นมีผู้ขายจำนวนมากที่ขายสินค้าใกล้เคียงกัน ทำให้มีผู้ขายหลายรายและในวันหนึ่ง นั้นมีการปรับราคาขายหลายรอบ ทั้งตั้งราคาให้ลดลงเพื่อแข่งขันกับผู้ขายรายอื่น หรือมีการเพิ่มมูลค่าของแถมให้มากขึ้น ซึ่ง Big data สามารถเข้ามาจัดการกับข้อมูลส่วนนี้ โดยการจัดกลุ่มผู้ขายสินค้าใกล้เคียงกันมาอยู่รวมกัน เพื่อให้ผู้ขายใน Amazon รับรู้และสามารถปรับเปลี่ยนนราคาที่เหมาะสมได้อย่างรวดเร็ว ถือเป็นการช่วยกำหนดราคาแข่งขันหรือราคากลางไม่ให้สูงหรือต่ำเกินไป
- ช่วยให้ข้อมูลสินค้าที่เกี่ยวข้องแบบเฉพาะเจาะจงเป็นรายบุคคล เว็บไซต์ Amazon ถือเป็นตัวอย่างที่ดีเรื่องการใช้ Big data ในการให้ข้อมูลสินค้าที่น่าสนใจกับลูกค้า (Product recommendations) เพราะในเว็บไซต์ Amazon ขณะที่ลูกค้าจะกำลังดูสินค้าอยู่เขาเห็นแถบหัวข้อ ‘Customers who bought this item also bought’ ที่แปลได้ว่า “ลูกค้าที่ซื้อสินค้าชิ้นนี้แล้ว ยังไปซื้อสินค้าเหล่านี้อีกด้วย” ซึ่งนี่จะเป็นการเพิ่มยอดขายด้วยการให้ข้อมูลสินค้าที่เกี่ยวข้องกันและอาจเป็นสินค้าที่ลูกค้าสนใจและกำลังค้นหาสินค้าที่เกี่ยวข้องกันอีกด้วย โดยใช้หลักความชอบที่เหมือนกัน โดยผลลัพธ์ที่ได้คือ เว็บไซต์ Amazon มียอดขายเพิ่มขึ้น 30% หลังจากที่มีการให้ข้อมูลสินค้าที่เกี่ยวข้อง
- ช่วยลดอัตราที่ตะกร้าสินค้าถูกปล่อยทิ้ง ตัวอย่างเว็บไซต์ eBay ที่มีพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่มีการเช็คข้อมูลสินค้าผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ประมาณ 3-5 อุปกรณ์ ก่อนจะตัดสินใจซื้อ และมีหลายครั้งที่ตะกร้าสินค้าที่มีการเพิ่มสินค้าเข้าไปแล้วถูกปล่อยทิ้งโดยไม่มีการซื้อเพราะลูกค้าเปลี่ยนอุปกรณ์ในการเข้าดูสินค้า ดังนั้นเว็บไซต์ eBay จึงได้ใช้ Big data มาช่วยในการเก็บข้อมูลนี้ แสดงสินค้าในตะกร้าที่ลูกค้าเคยเพิ่มเอาไว้แม้จะมีการใช้งานอุปกรณ์อื่นในการเข้าชมเว็บไซต์ก็จะช่วยลดตัวเลขตรงนี้ด้วย
- ช่วยคาดการณ์ความเป็นไปล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ เนื่องจาก Big data ที่เก็บข้อมูลความชอบ จำนวนที่ขาย ช่วงเวลาที่ขาย จึงสามารถนำข้อมูลที่รวบรวมมาใช้วิเคราะห์ความสนใจของลูกค้าได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขายสามารถคาดการณ์ได้ว่าช่วงเวลาไหนที่สินค้าอะไรจะขายดี และจะทำให้สามารถจัดหาสินค้าให้มากพอสำหรับความต้องการของลูกค้าอย่างถูกต้อง โดยจะช่วยลดการเสียโอกาสในการขาย แล้วนำเสนอสินค้าให้ถูกใจลูกค้า เพื่อเป็นโอกาสในการสร้างความประทับใจ และนำไปสู่การตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ Big data ที่เก็บข้อมูลได้จากหลายแหล่ง จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจ E-commerce สามารถจับตาดูเทรนด์ได้ผ่านทาง Social media และเก็บข้อมูลว่าสินค้าชนิดไหนที่กำลังเป็นที่ต้องการหรือมาแรง เพื่อนำมาใช้ในการสร้างแคมเปญการตลาดและการโฆษณาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
- ช่วยให้ลูกค้ามีประสบการณ์ที่ดี เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่จะรู้สึกไว้วางใจและชื่นชอบเว็บไซต์ที่สามารถตรวจสอบหากมีการโกงเกิดขึ้น หรือ การแจ้งเตือนบัญชีผู้ใช้งานที่เข้าข่ายหลอกลวง ซึ่ง Big data สามารถช่วยธุรกิจ E-commerce ด้วยการเก็บข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์และศึกษาพฤติกรรมของเจ้าของบัญชีที่มีการโกง และใช้เป็นตัวอย่างในการตรวจสอบการโกงและแจ้งเตือนไปอย่างลูกค้าได้ในอนาคต โดยทั้งนี้ก็เพื่อช่วยให้ลูกค้ามีประสบการณ์ที่ดีต่อตัวเว็ปไซต์นั่นเอง
Source: http://bigdataexperience.org/big-data
ด้วยเหตุนี้เองธุรกิจต้องรู้จักการใช้ Big data เพื่อวิเคราะห์หาความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น หาเทรนด์ทางการตลาด และข้อมูลอื่นๆที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก จะช่วยสร้างโอกาสในการทำกำไร ช่วยธุรกิจให้มีบริการที่มีประสิทธิภาพสูง และสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งในการแข่งขันทางการตลาด