นายกฯ แถลงการณ์ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ป้องกันไวรัสโควิด 19 แพร่ระบาด
วันที่ 25 มีนาคม 63 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ประกาศพรก.ฉุกเฉิน ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ระบุว่า การแพร่ระบาดของ โควิด 19 ซึ่งอาจทวีความรุนแรงมากขึ้นอีกหลายเท่า รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม - 30 เมษายน 2563 ยกระดับศูนย์ COVID-19 ให้เป็นศูนย์บัญชาการตามมาตรา 7 ของกฎหมาย เพื่อสั่งการชัดเจน และลดปัญหาการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ซับซ้อน
โดยมี นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
- ปลัดกระทรวงสาธารณสุข จะเป็นหัวหน้า ผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้านสาธารณสุข
- ปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านการสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ว่า กทม.
- ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ด้านการควบคุมสินค้าและเวชภัณฑ์
- ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ด้านการต่างประเทศ และการคุ้มครองช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศ
- ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นหัวหน้า ผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้านความมั่นคง ปราบปรามอาชญากรรมทุกประเภท การปฎิบัติหน้าที่ของทหาร และตำรวจ รวมถึง ทีมงานทุกภาคส่วนเป็นที่ปรึกษา มีการประชุมร่วมกัน เพื่อให้ทุกฝ่ายทราบข้อมูลสถานการณ์เป็นภาพเดียวกัน สามารถทำงานสอดประสาน ไปในทิศทางเดียวกัน
สำหรับข้อกำหนดต่างๆ เช่น การห้ามเข้าพื้นที่เสี่ยง, การปิดสถานที่เสี่ยงซึ่งปิดไปบ้างแล้ว, การปิดช่องทางเข้าประเทศ, การเสนอข้อพึงปฏิบัติสำหรับ ผู้สูงวัย คนป่วย และเด็ก, การห้ามกักตุนสินค้า,การขึ้นราคาสินค้าโดยไม่มีเหตุผล, การห้ามเสนอข่าวบิดเบือน จะมีการประกาศตามมาหลังจากที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว
ขอยืนยันว่า ภายใต้พระราชกำหนดฉบับนี้ จะไม่มีการปิดร้านค้าที่จำหน่ายสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ซึ่งข้อกำหนดเหล่านี้ อาจจะสร้างความไม่สะดวกกับพี่น้องประชาชนบ้าง แต่ขอให้ทุกท่านร่วมมือและเสียสละเพื่อส่วนรวม
จะมีการใช้ Application มาช่วยในการดำเนินการ นอกจากนั้นจะมีการปรับปรุงการสื่อสารให้ดีขึ้น โดยจะมีการแถลงข่าวเพียงวันละ 1 ครั้งเพื่อลดความซ้ำซ้อนและความเข้าใจคลาดเคลื่อน ขอให้สื่อมวลชนใช้ข้อมูลจากการแถลงประจำวันแทนการขอสัมภาษณ์โดยตรง ขอให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียแชร์ข้อมูลจากการแถลงข่าวและใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการช่วยเผยแพร่ข้อมูลจะมีการใช้อำนาจตามกฎหมายควบคุมโรคอย่างเข้มข้นขึ้นทั่วประเทศ ภายในหนึ่งสัปดาห์จะกระจายทีมงานไปพูดคุยกับคนเก่งทั่วประเทศเพื่อดึงเข้ามาทำงาน
มาตรการจะเข้มข้นมากขึ้น และจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือเสียสิทธิเสรีภาพ แต่ถ้าทำตามก็คิดว่าจะก้าวพ้นสถานการณ์ไปได้
อ้างอิง : สำนักนายกรัฐมนตรี