แผนเปิดตัวอสังหาไทย 2562-2563 ใครปรับตัวเชิงรุก ใครเป็นฝ่ายเชิงรับ
ในปี 2562 ที่ผ่าน ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว จากมาตรการ LTV ที่ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงและการขายโครงการก็เป็นไปได้ยากขึ้น อีกทั้งราคาบ้าน/คอนโด ก็ปรับเพิ่มได้น้อยลงกว่าที่ผ่านมา จากสภาวะ Supply ในตลาดที่มีมาก โดยจากการประกาศแผนเปิดตัวโครงการใหม่ ในปี 2563 ของผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ 10 บริษัท พบว่า มีการเปิดตัวใหม่ทั้งหมด 178 โครงการ มูลค่า 230,440 ล้านบาท ซึ่งจำนวนโครงการและมูลค่าโครงการลดลงจากปีก่อน ที่มีการเปิดตัวถึง 189 โครงการ มูลค่า 272,345 ล้านบาท
จากการรวบรวมข้อมูล พบว่า เกือบทุกบริษัทมีการเปิดตัวลดลงจากปี 2562 และมีเพียง 2 บริษัท ที่เปิดตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน TerraBKK จึงขอพาทุกคนไปดูว่าแต่ละบริษัทมีการเปิดตัวลดลงหรือเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนและในแต่ละบริษัทมีกลยุทธ์และแผนการดำเนินงานอย่างไร สำหรับการดำเนินธุรกิจในปี 2563 นี้
AP Thailand
โดยในปีนี้จะเปิดตัวทั้งหมด 37 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบ 33 โครงการ คอนโดมิเนียมอีก 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 47,000 ล้านบาท เปิดตัวเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยในปี 2562 เปิดตัวโครงการทั้งหมด 27 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 47,860 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับดีทั้งแนวราบและคอนโด โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวที่มีลูกค้าเข้าเยี่ยมชมโครงการเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 280 ครั้ง / สัปดาห์ และสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 460 ล้านบาทในเวลาเพียง 2 วัน ซึ่งแม้ว่าปีที่ผ่านมาตลาดอสังหาฯอยู่ในช่วงขาลง แต่ Ap Thailand ก็สามารถสร้างรายได้รวมกว่า 32,454 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,064 ล้านบาท เป็นเพราะสามารถมองทิศทางของตลาดออก โดยมีการปรับแผนการพัฒนาโดยเน้นไปที่แนวราบในราคาที่จับต้องได้
ทำให้ในปีนี้ก็ยังเน้นพัฒนาโครงการแนวราบและเป็นครั้งแรกที่จะกระจายการพัฒนาโครงการแนวราบออกไปต่างจังหวัด มีแผนดำเนินงานตาม MASTERPLAN FOR TOMORROW ขยายขอบเขตการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนางานก่อสร้างให้มีคุณภาพ
ศุภาลัย
ในปี 2563 มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการ 30 โครงการ เป็นแนวราบ 25 โครงการ คอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท ซึ่งเปิดตัวโครงการเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยปี 2562 ได้เปิดตัวโครงการทั้งหมด 24 โครงการ มูลค่า 34,380 ล้านบาท และทำกำไรสุทธิ 5,403 ล้านบาท ซึ่งศุภาลัยเห็นปัจจัยบวกหลายด้าน จากที่ ธปท. คลายความเข้มงวดของมาตรการ LTV อีกทั้ง Supply ในตลาดโดยเฉพาะคอนโด ผู้พัฒนารายอื่นได้มีการลดจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ลง อีกทั้งโครงการแนวราบยังเป็นที่ต้องการของลูกค้า เนื่องจากมียอดขายที่ลดลงไม่มากเมื่อเทียบกับคอนโดมิเนียม
ในปี 2563 นี้ บริษัทจึงยังคงขยายการลงทุน จากความได้เปรียบในเรื่องต้นทุนในการก่อสร้างที่ต่ำที่สุดในตลาดและจะปรับลดราคาลงในบางทำเลเพื่อให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจ และเน้นพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น จะเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัดใหม่ๆ โดยจะเจาะกลุ่มลูกค้าตลาดระดับกลาง
-- ในตอนหน้า TerraBKK จะมาเจาะลึกถึง AP และ ศุภาลัย ว่าทำไมถึงเปิดตัวเพิ่มขึ้น รอติดตามได้ค่ะ --
พฤกษา
ในปี 2563 มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการ 30 โครงการ แบ่งเป็นทาวน์โฮม 18 โครงการ บ้านเดี่ยว 16 โครงการ และคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่ารวม 36,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ที่เปิดตัว 36 โครงการ มูลค่ารวม 41,170 ล้านบาท ซึ่งในปี 2563 จะมีการเปิดตัวโครงการลดลงจากปีที่ผ่านมา เพราะว่าตลาดอสังหาฯอยู่ในช่วงชะลอตัว อีกทั้งผลประกอบการในปี 2562 ติดลบถึง 30 %
บริษัทมีการปรับกลยุทธ์ในการรุกธุรกิจอสังหาฯ อย่างรัดกุมในทุกด้านเพื่อให้ธุรกิจเติบโตภายใต้สภาวะตลาดที่ชะลอตัวอยู่ โดยมีการจัดตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมาใหม่ 2 ทีม คือ ทีมช่วยลูกค้าให้สามารถผ่านการกู้เงินจากสถาบันการเงินและทีมการตลาดแบ่งตามกลุ่มลูกค้า เพื่อที่จะผลักดันยอดขายในปีนี้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
แสนสิริ
จากในปี 2562 ที่ยอด Pre sale ลดลงจากปีก่อนหน้าถึง 56% ได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV และสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้ในปีนี้ แสนสิริลดการเปิดตัวโครงการลง จากปี 2562 ที่เปิดตัว 20 โครงการ มูลค่า 30,000 ล้านบาท ในปีนี้ตั้งเป้าเปิดตัวทั้งหมด 18 โครงการ มูลค่ารวม 24,000 ล้านบาท
โดยจะเน้นพัฒนาโครงการขนาดเล็ก เพื่อปิดการขายทั้งโครงการได้เร็วและลดต้นทุนการแบกภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เน้นพัฒนาโครงการที่ Mass Market สำหรับกลุ่มลูกค้าระดับกลางและกลางล่าง และงดเปิดโครงการระดับ Luxury อีกทั้งจะเน้นขาย Stock เดิม โครงการที่กำลังสร้างและสร้างเสร็จพร้อมโอน
Land & Houses
ในปี 2563 จะเปิดโครงการเป็นแนวราบทั้งหมด 16 โครงการ ซึ่งมีการเปิดตัวเท่ากับปี 2562 แต่มูลค่าของโครงการลดลงจาก 30,535 ล้านบาท เป็น 28,440 ล้านบาท โดยมองว่าแนวโน้มตลาดอสังหาฯในปีนี้ ดีที่สุดก็แค่ทรงตัว เพราะไม่มีปัจจัยบวกมาสนับสนุนและคอนโดยังมี Supply คงค้างอยู่ในตลาดเป็นจำนวนมากทำให้บริษัทชะลอการลงทุนในคอนโด
ในปีนี้ Land & houses ก็ยังคงใช้กลยุทธ์การเปิดโครงการแบบเดียวกับปีที่แล้วคือไม่เปิดคอนโดมิเนียม (แต่ปีที่แล้วก็มีเปิด 1 โครงการ แต่ขายหมดภายในไม่กี่วัน) รวมถึงการขยาย Product ไปบ้านแฝด ที่มีการสร้างแบรนด์ใหม่อย่างเต็มตัว อีกทั้งจะพัฒนาโครงการกระจายทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดและจะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพภายในองค์กร พัฒนาบุคลากรและระบบ เพื่อลดรายจ่ายไม่ให้เกิน 15 %
Origin
มีแผนจะเปิดตัวทั้งหมด 14 โครงการ เป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ และแนวราบ 10 โครงการ มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท เปิดโครงการลดลงจากปีก่อนที่เปิดตัว 20 โครงการ เป็นคอนโด 16 โครงการ และแนวราบ 4 โครงการ จะเห็นได้ว่าปีนี้ปรับสัดส่วนของการเปิดตัวคอนโดลง จากสภาวะตลาดคอนโดที่ซบเซา
ทำให้ปีนี้ Origin ลุยตลาดแนวราบอย่างเห็นได้ชัด โดยมีการแตกแบรนด์แนวราบใหม่ 3 แบรนด์รวด ที่เน้นพัฒนาโครงการกระจายไปยังจังหวัดเศรษฐกิจสำคัญตามหัวเมืองต่างๆ หรือ EEC อีกทั้งบริษัทยังเปิดรับ Partner ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มทุน เจ้าของที่ดินฯ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
SC Asset
ในปีนี้มีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ 13 โครงการ เป็นแนวราบ 12 โครงการและคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท ซึ่งเปิดโครงการเท่ากับปีที่ผ่านมา แต่มีการปรับสัดส่วนในการเปิดตัวคอนโดลงจากสภาวะตลาดคอนโดที่ชะลอตัว
ในปีนี้จะมีการปรับพอร์ตการลงทุนโดยเน้นพัฒนาโครงการแนวราบ และจะเปิดตัวโครงการให้ครอบคลุมทุก Segment โดยจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโครงการราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท เพื่อให้เข้ากับสภาวะตลาดปัจจุบัน กระจายความเสี่ยงและเพิ่มพอร์ตรายได้ประจำจากโรงแรม อพาร์ทเม้นท์
Sena
ในปีนี้มีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 10 โครงการ เป็นคอนโดมิเนียม 6 โครงการ และแนวราบ 4 โครงการมูลค่ารวม 7,500 ล้านบาท ซึ่งเปิดตัวลดลงจากปีที่ผ่านมาเล็กน้อย โดยในปี 2562 เปิดตัว 11 โครงการ มูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท
โดยจะพัฒนาโครงการที่เจาะกลุ่ม Real Demand เน้นคนซื้ออยู่จริง ในระดับราคาที่เข้าถึงได้ เป็นการขยายฐานลูกค้าระดับกลาง-ล่าง อีกทั้งยังจับมือกับพันธมิตร เตรียมรุกตลาด ทาวน์โฮมเป็นครั้งแรก
LPN
ในปี 2563 วางแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ 9 โครงการ เป็นคอนโดมิเนียม 5 โครงการ และแนวราบ 4 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาทซึ่งเปิดตัวลดลงจากปีก่อน โดยปี 2562 เปิดตัว 16 โครงการ มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท เนื่องจากผลการดำเนินงานในปี 2562 มียอดขายและรายได้ต่ำกว่าที่ตั้งเป้าไว้จากสภาวะตลาดอสังหาฯ ที่ชะลอตัว
LPN ได้วางยุทธศาสตร์สำหรับปี 2563 ให้เป็นปีแห่งการเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งประสิทธิภาพในการทำกำไร การกระจายรายได้เพื่อลดความเสี่ยง และการบริหารสภาพคล่องทางการเงิน ในเรื่องของการเลือกซื้อที่ดินจะซื้อที่ดินที่อยู่ในซอย ไม่ไกลจากถนนใหญ่และรถไฟฟ้ามากนัก เพื่อให้มีต้นทุนที่ต่ำลง และสามารถพัฒนาโครงการในระดับราคาที่พอดีกับกำลังซื้อของลูกค้าในปัจจุบัน
Ananda
จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากปัจจัยลบต่างๆทำให้ในปีนี้ มีแผนเปิดโครงการเพียง 1 โครงการ มูลค่า 8,500 ล้านบาท แต่หากในครึ่งปีหลัง สถานการ์ณดีขึ้น ก็มีความพร้อมที่จะเปิดตัวโครงการใหม่อีก 7 โครงการ
ในปีนี้แนวทางการทำธุรกิจของบริษัทจะให้ความสำคัญกับธุรกิจหลัก คือ คอนโดมิเนียม ด้วยการนำโครงการที่มีอยู่ในสต๊อกออกมาขายในราคาพิเศษ อีกทั้งเน้นจุดยืน Urban Living Solutions สำหรับคนเมือง รวมทั้งจะสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าในทุกขั้นตอน
จะเห็นได้ว่าแต่ละบริษัทก็มีกลยุทธ์ต่างๆ ทั้งในเรื่องของการเน้นพัฒนาแนวราบ ขยายพื้นที่ไปต่างจังหวัดมากขึ้น การพัฒนาโครงการในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่สามารถรับมือกับสภาวะตลาดในปัจุบันได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ก็ต้องรอดูว่าจะมีปัจจัยบวกหรือปัจจัยลบอะไร ที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอสังหาฯอีกหรือไม่ หรือจะมีบริษัทใดประกาศเพิ่มหรือลดแผนเปิดตัวโครงการใหม่อย่างไร TerraBKK ก็หวังว่าจะมีปัจจัยบวกที่มาช่วยพยุงเศรษฐกิจและภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้ดีขึ้น ทั้งนี้ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับภาคธุรกิจอสังหาฯ และทุกธุรกิจ ให้ผ่านพ้นไปด้วยกันนะคะ