LPN Wisdom คาดตลาดอสังหาฯ ฟื้นครึ่งหลังของปี 2563
บริษัท ลุมพีนี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด คาดตลาดอสังหาริมทรัพย์จะฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี 2563 หลังสถานการณ์แพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส 2019 (โควิด-19) มีแนวโน้มคลี่คลาย และกำลังซื้อเพื่อการอยู่อาศัยยังคงมีอยู่ในตลาดหลังจากที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสแรกยังคงมีความสามารถในการทำกำไร(Net Profit Margin) เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 13.81
“ถึงแม้ผลการดำเนินงานไตรมาสแรก ปี 2563 ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 29 บริษัท จะมีรายได้รวม 59,207.66 ล้านบาท ลดลงในสัดส่วนร้อยละ 30.43 และกำไรสุทธิ 8,176.88 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 40.68 เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2562 ก็ตาม แต่เมื่อเทียบความสามารถในการทำกำไร (Net Profit Margin)ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังคงสามารถรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 13.81 ซึ่งถือว่ายังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น” นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพีนี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom) บริษัทด้านการวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน)(LPN) กล่าว
นอกจากความสามารถในการทำกำไรที่ยังคงอยู่ในระดับสูงแล้ว สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ณ สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 โดยเฉลี่ยยังต่ำกว่า 2:1 เท่า ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งแตกต่างจากวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ที่สัดส่วนหนี้ต่อทุนของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในระบบในขณะนั้นมีสัดส่วนสูงเกินกว่า 2:1 ทำให้มีความเสี่ยงในการทำธุรกิจเมื่อเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจหดตัว
ความแข็งแกร่งทางการเงินของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว ทำให้ถึงแม้จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจหดตัวโดย LPN Wisdom ประมาณการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะติดลบประมาณร้อยละ 5-7 ซึ่งสอดคล้องกับการประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยจะติดลบที่ร้อยละ 5-6 ของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 มีแนวโน้มติดลบในสัดส่วนร้อยละ 15-20 เมื่อเทียบกับปี 2562 ก็ตาม แต่ LPN Wisdom มั่นใจว่าโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่งของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) ซึ่งอยู่ในบัญชีรายชื่อหุ้นยั่งยืนหรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) จะสามารถสร้างรายได้ ยอดขาย และรักษาอัตราการทำกำไร ในห้วงเวลาที่เศรษฐกิจชะลอตัว
ในขณะเดียวกันจากการวิเคราะห์กำลังซื้อในไตรมาสแรกของปี 2563 พบว่า ความต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยยังคงมีกำลังซื้ออย่างต่อเนื่องทั้งแนวราบและอาคารชุดเพื่อการอยู่อาศัย รายได้ที่ลดลงของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์โดยเฉลี่ยร้อยละ 30.43 ในไตรมาสแรกเป็นผลมาจากการที่ไม่สามารถโอนที่อยู่อาศัยให้กับผู้ซื้อจากต่างประเทศที่ไม่สามารถมาโอนอาคารชุดได้ตามแผนที่วางไว้ซึ่งเป็นผลจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และบางส่วนเป็นกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อการลงทุนที่ชะลอการลงทุนในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยที่มีแนวโน้มคลี่คลาย และคาดว่าจะสามารถ ปลดล็อกได้สิ้นไตรมาส 2 ของปี 2563 ทำให้ LPN Wisdom คาดว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะค่อยๆ ฟื้นตัว ในไตรมาส 3 และไตรมาส 4ของปี 2563 โดยคาดว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จะทยอยเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปี หลังจากที่ชะลอแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาส 2 ของปี 2563
LPN Wisdom ประมาณว่าจะมีจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2563 จะอยู่ที่ 50,000-55,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 175,000-190,000 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 50-55 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2562 ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่มีการระบาดของไวรัส โควิด-19 ระลอกสอง
“ถึงแม้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์จะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ก็ตามแต่เนื่องจากจำนวนสินค้าคงเหลือและโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีมูลค่าสูง เฉพาะ 29 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีจำนวนสินค้าคงเหลือและโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562 สูงถึง 576,406 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.74 จาก ณ สิ้นปี 2562 ซึ่งต้องใช้เวลาในการขายไม่น้อยกว่า 36 เดือน ทำให้แนวโน้มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ จะเร่งขายโครงการเดิม แทนการเปิดโครงการใหม่ อย่างไรก็ตาม จะมีบางบริษัทที่ยังคงเปิดโครงการใหม่ในบางทำเลที่มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะโครงการแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ ที่มีความต้องการสูง ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามรูปแบบการใช้ชีวิตในวิถีปรกติใหม่ (New Normal) ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นตอบโจทย์การทำงานที่บ้าน(Work From Home) ที่กำลังกลายเป็นรูปแบบการทำงานรูปแบบใหม่ หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ LPN Wisdom เชื่อว่า การทำงานที่บ้านจะยังคงอยู่แม้จะไม่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แล้วก็ตาม” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว