บรรยากาศความคึกคักของการเปิดภาคเรียนกันอีกครั้ง ที่จะมาพร้อมกับ “ความปกติใหม่” หลังผ่านพ้นวิกฤตการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 แต่ยังต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง จึงต้องมีการปรับตัวทั้งรูปแบบการเรียน การสอน กิจกรรมต่าง ๆ ซึ่ง สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) ได้มี 3 นวัตกรรมใหม่ที่ช่วยอำนวยความสะดวก เข้ามาเป็นเครื่องมือ พร้อมดูแลความปลอดภัยและมาตรการเพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับทุกฝ่ายให้สามารถกลับไปเรียนได้ในสภาวะที่ทุกอย่างอยู่ในยุค “New Normal”

Online Blended Learning for School หรือ นวัตกรรมการเรียนแบบผสมผสานออนไลน์สำหรับโรงเรียน

        นวัตกรรมที่จะเข้ามาทำให้การเรียนหนังสือของเด็กสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา พัฒนาโดย บริษัท เลิร์น เอ็ดดูเคชั่น จำกัด  ที่ได้คิดค้นเทคโนโลยีที่จะเข้าไปช่วยเสริมให้การเรียนการสอนหลังโควิด-19 เริ่มคลี่คลายให้สามารถดำเนินการได้อย่างง่าย นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา และสามารถออกแบบกิจกรรมที่ตนเองอยากทำได้เอง

         จะเป็นการใช้งานในรูปแบบของแอปพลิเคชันที่ชื่อว่า Learn Anywhere” เป็นแอปฯที่ต่อยอดมาจากระบบ “Online Blended Learning For School” โดยเปิดให้เด็กเรียนผ่านแอปพลิเคชั่นในรายวิชาหลักอย่างเช่น วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เป็นบทเรียนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่5 - มัธยมศึกษาปีที่ 3 เท่านั้น

         ส่วนการเข้าใช้งานนักเรียนจะต้องลงทะเบียนเพื่อขอ Password และ Username หลังจากที่ได้รับรหัสผ่านนักเรียนก็สามารถเข้าเรียนผ่านระบบออนไลน์ได้เลย โดยระบบจะจัดลำดับบทเรียนตามที่โรงเรียนได้กำหนดไว้

        ที่ผ่านมามีการนำระบบไปทดลองใช้กับโรงเรียนนำร่อง 5 แห่ง ซึ่งพบว่านักเรียนให้ความสนใจและเข้าใช้เป็นจำนวนมาก สำหรับความพิเศษของแอปฯ คือจะช่วยให้การเรียนผ่านระบบออนไลน์ทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ลดความกังวลว่าหากไปทำกิจกรรมแล้วจะเรียนมาไม่ทันเพื่อน เพราะสามารถกลับมาทบทวนบทเรียนได้ตลอดเวลา

แพลตฟอร์ม Kids Up: ระบบจัดการความปลอดภัยของนักเรียนแบบครบวงจร

         แพลตฟอร์ม Kids Up เกิดขึ้นมาจากการรับ-ส่งลูกที่โรงเรียนเป็นประจำ และมักจะพบกับปัญหาการจราจรติดขัดหน้าโรงเรียน และความไม่ปลอดภัยที่เด็กจะต้องมายืนรอผู้ปกครองด้านหน้าซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ

        ดังนั้นจึงคิดค้นแพลตฟอร์มที่จะเข้ามาบริหารจัดการการรับ-ส่งบุตรหลานผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือที่ผู้ปกครองสามารถใช้งานได้ทันทีหลังจากลงทะเบียนผ่านเบอร์มือถือเท่านั้น โดยบริษัทจะเข้าไปติดตั้งระบบที่สามารถแสดงผลและแจ้งเตือนให้นักเรียนทราบว่าอีกกี่นาทีผู้ปกครองจะมาถึงผ่านระบบโทรทัศน์หรือจอแอลอีดี

ทั้งนี้ได้มีการออกแบบแอปฯ ให้ใช้งานง่ายกว่าระบบบริหารจัดการการจราจรหน้าโรงเรียนของต่างประเทศ และแม่นยำในเรื่องของเวลาค่อนข้างสูง เพราะระบบจะตรวจจับเวลาการเดินทางผ่าน Google Map ดังนั้น เวลาที่ผู้ปกครองมาถึงค่อนข้างตรงตามที่แจ้งอาจจะมีบ้างในกรณีล้าช้าแต่เมื่อคำนวณแล้วบวกลบไม่เกิน 5 นาที

        “ในอนาคตจะมีการพัฒนาฟังก์ชั่นสำหรับผู้ปกครองที่ไม่ได้มารับลูกด้วยตนเอง และรถรับ-ส่งนักเรียน หรือการเชื่อมระบบกับแกร็ป นอกจากนี้ จะมีการพัฒนาระบบเพื่อรองรับผู้ปกครองในบางกลุ่มที่ไม่ได้ใช้สมาร์ทโฟนให้สามารถเข้าถึงแอปพลิเคชั่นได้ทุกรูปแบบ เพราะตนเห็นว่าในอนาคตนวัตกรรมหรือแพลตฟอร์มที่เกี่ยวกับการศึกษาจะเข้ามามีบทบาทค่อนข้างมาก ดังนั้น นวัตกรรมด้านการศึกษาจำเป็นจะต้องปรับ และคิดค้นฟังก์ชั่นใหม่ๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง โดยระบบเทคโนโลยีต้องสามารถเข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม”

 

แพลตฟอร์ม School Management System 4.0 หรือโครงการระบบบริหารจัดการสถานศึกษา 4.0

         แพลตฟอร์มที่จะช่วยให้โรงเรียนก้าวสู่การเป็นโรงเรียนในยุค 4.0 ผ่านการบริหารจัดการด้วยระบบดิจิทัล ที่ บริษัท จับจ่าย คอร์ปอเรชั่น จำกัด  ได้พัฒนาแพลตฟอร์มระบบบริหารจัดการโรงเรียนแบบ 4.0 เพื่อเพิ่มความสะดวกในการจัดระบบภาระงานภายในสถานศึกษา  อาทิ ระบบตารางสอนของครู ตารางเรียนของนักเรียน ระบบเช็คชื่อ ระบบตรวจสอบคะแนนความความประพฤติ ระบบแจ้งการบ้าน ระบบลา รวมไปถึงระบบบริหารงานของครู เช่น ระบบรายงานผู้บริหาร ระบบรายงานผลการเรียน ระบบปฏิทินโรงเรียน

"ข้อมูลทั้งหมดจะถูกรายงานผ่านแอปพลิเคชันและเว็ปไซต์ ซึ่งสามารถเข้าใช้งานผ่านมือถือได้เลยโดยไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม ระบบจะทำงานแบบ Realtime ซึ่งจะช่วยให้โรงเรียนอัพเดตความเคลื่อนของครู นักเรียน ได้ตลอดเวลา ผ่านการใช้ข้อมูลที่ถูกจัดเก็บบน Cloud Base ที่มีความปลอดภัยสูง"

         ทางบริษัทได้มีการนำเอาระบบไปทดลองใช้กับโรงเรียนกว่า 300 แห่งพบว่า ระบบการจัดการภายในโรงเรียนมีความเป็นระบบมากยิ่งขึ้น โรงเรียนสามารถจัดหมวดหมู่เอกสารและมีฐานข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนแต่ละคนครบถ้วนและชัดเจน สามารถลดภาระงานให้แก่ครูได้มากถึง 90%

         และยังทำให้โรงเรียนทราบพฤติกรรมของนักเรียนและสามารถนำไปวางแผนเพื่อรองรับหรือปรับพฤติกรรมของนักเรียนได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว สำหรับความโดดเด่นของระบบนั้นแม้ว่าจะเป็นระบบการจัดการที่ค่อนข้างละเอียดและซับซ้อน แต่มีการออกแบบให้ใช้งานได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ผ่านกราฟฟิคที่สวยงาม สบายตา เหมาะสำหรับครู อาจารย์ นอกจากระบบจะจัดการข้อมูลภายในโรงเรียนให้แล้วยังสามารถเชื่อมผู้ปกครอง โรงเรียน และนักเรียนเข้าหากัน ซึ่งจะช่วยลดภาระงานของครูและสร้างความอุ่นใจให้แก่ผู้ปกครอง

              แน่นอนว่าหลังสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย เราจะเริ่มเห็นสิ่งใหม่ๆ หรือวิถีใหม่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะนวัตกรรมเกี่ยวกับการศึกษา เพราะหลังจากนี้ในระบบการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นในโรงเรียน ครู นักเรียน จะหันมาใช้เทคโนโลยีมากขึ้นกว่า สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้นวัตกรรมเกี่ยวกับการศึกษามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และจะกลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนระบบการศึกษาไทย

 

ข้อมูล : สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA)