การเชื่อ กับการฟัง เป็นคนละความหมาย เราไม่ควรจะเชื่อทุกอย่างที่มีคนพูด

จำได้ไหมครับ คนไทยมักถูกสั่งสอนตั้งแต่เป็นเด็กตัวเท่าลูกหมาว่า เป็นเด็ก เป็นเล็ก ต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ พอโตขึ้นมาหน่อย ก็ได้ยินคนพูดกรอกหูว่า เชื่อฟังผู้นำ ชาติพ้นภัย

      เมื่อหลายปีก่อน ฮิวโก้ หรือ จุลจักร จักรพงษ์ นักร้อง นักแสดงชื่อดัง เคยบอกกับผม เขาแปลกใจว่า “ ทำไมคนไทย จึงถูกสอนให้เชื่อฟัง ผู้ใหญ่” เพราะในความเห็นของเขา คำว่า ‘เชื่อ’ กับ ‘ฟัง’ ต้องแยกแยะให้ดี เพราะมีความหมายไม่เหมือนกัน

       ฮิวโก้เป็นเด็กลูกครึ่ง ได้รับการศึกษาในประเทศอังกฤษ เขาบอกว่า เราทุกคนควรจะ ‘ฟัง’ ทุกคนที่พูดไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร แต่ความ ‘เชื่อ’ เป็นเรื่องของเรา ที่ต้องพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ไม่ใช่ว่า ใครพูดอะไรมาก็ต้องเชื่อไปหมด     

ความเห็นของฮิวโก้ อาจจะขัดกับความรู้สึกของคนไทยจำนวนหนึ่ง ที่มีความเคยชินว่า เราต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่หรือผู้มีอำนาจกว่า ซึ่งแม้แต่ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายของเชื่อฟัง คือ ‘ทำตามหรือประพฤติตามคำสั่งหรือคำสอน’

       ‘เชื่อฟัง’ จึงกลายเป็นคำเดียวกัน และดูเหมือนจะสะท้อนวัฒนธรรมของคนไทยในการรับรู้ข่าวสารได้เป็นอย่างดี ในอดีต คนที่มีสิทธิ์จะพูดให้คนฟังได้ มักเป็นเจ้านาย ผู้ใหญ่ ผู้มีอำนาจ ผู้ที่เชื่อได้ว่าเป็นผู้รู้ ผู้มีการศึกษา  อาทิ พระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ ผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคม เพราะการรับรู้ข่าวสาร ความรู้ เรื่องราวต่าง ๆของคนไทยส่วนใหญ่ในอดีตมาจากการฟังเจ้านายพูด ฟังพระเทศน์ ไม่ได้มาจากการอ่านหนังสือ และวัฒนธรรมการอ่านของคนไทยก็ยังจำกัดอยู่ในแวดวงคนชั้นสูงมานาน

 

       แม้ว่าเราจะเริ่มมีการพิมพ์หนังสือโดยหมอบลัดเลย์ที่เข้ามาตั้งโรงพิมพ์ในสยามประเทศมาปลายรัชกาลที่สาม สมัยก่อนคนมีอำนาจพูด หรือคนที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่พูดอะไรออกมา ก็ทำให้คนไทยพร้อมที่จะฟังและเชื่อโดยสนิทใจ ไม่ต้องมีการตั้งคำถาม หรือสงสัยในคำพูดใด ๆ

       การเชื่อฟังผู้ใหญ่จึงเป็นวัฒนธรรมที่อยู่ในดีเอ็นเอของคนไทยมาช้านาน คนมีความรู้หรือมีอำนาจพูดอะไรออกมา ก็ต้องเชื่อฟังโดยปริยาย ทั้ง ๆ ที่ขัดแย้งกับ หลักกาลามสูตรข้อแรกของพระพุทธเจ้าที่กล่าวว่า “ อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา”

       กาลามสูตรเป็นหลักสิบประการที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงาย ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจ เวลาที่เราอยู่ในชั้นเรียนเมื่อคุณครูสอนหนังสือจบ และถามนักเรียนว่ามีอะไรสงสัยจะถามไหม

       แทบจะไม่มีใครยกมือขึ้นถาม ซึ่งไม่ได้หมายความว่า นักเรียนเข้าใจแจ่มแจ้งไม่ต้องสงสัย  แต่มันมีนัยว่า เด็กไทยถูกสั่งสอนมาโดยไม่รู้ตัวว่าห้ามตั้งคำถามกับผู้ใหญ่  เพราะการตั้งคำถามคือการท้าทายหรือสงสัยคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ พูดอีกอย่าง การตั้งคำถาม คือการไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่

       ฮิวโก้ผู้เติบโตในเมืองนอก จึงงง ๆ กับวัฒนธรรมการเชื่อฟังของคนไทย เพราะเขายืนยันคำว่า เชื่อ และ ฟัง เป็นคนละความหมาย ความเชื่อที่ถูกต้อง น่าจะเกิดจากการฟังอะไรมาก ๆ ฟังอะไรรอบด้าน ก่อนจะมาวิเคราะห์เป็นความเชื่อของตัวเอง

       ทุกวันนี้ในสังคมไทยที่มีปัญหาการเลือกข้าง ความแตกแยกหรือมีการแบ่งสีอย่างชัดเจน ส่วนหนึ่งก็มาจากวัฒนธรรมการเชื่อฟัง เพราะตอนนี้ใครพูดอะไรมา ยังไม่ทันจะวิเคราะห์ คนจำนวนมากก็เชื่อไปแล้ว ขอให้คนพูดอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา  และที่ก้าวหน้าไปกว่านั้นอีก คือ ยังไม่ทันฟังว่าคนนั้นจะพูดอะไร ก็เชื่อไปเสียก่อนแล้ว

        ยิ่งใครพูดเก่ง พูดได้ดุเดือด พูดแบบโต้วาที ก็ยิ่งได้รับการยอมรับมาก 

        ไม่แปลกใจ ในอดีตที่ผ่านมานักการเมือง หรือผู้มีอำนาจที่ประสบความสำเร็จ คุณสมบัติอันโดดเด่นคือ จะต้องเป็นนักพูด ไม่ว่าจะพูดในรัฐสภา พูดในม็อบ หรือพูดบนเวทีสาธารณะ ยิ่งพูดสนุก พูดสะใจและสะกดคนฟังได้รอบทิศ ถือว่ามีอนาคตไกล

        ส่วนจะพูดเรื่องจริง หรือตีหน้าเศร้า เล่าเรื่องเท็จ คงจะไม่ใช่สาระสำคัญ ยิ่งในสมัยนี้ นอกจากนักการเมืองแล้ว อาชีพที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ได้รับการยอมรับในสังคมสูง  หากพูดอะไรออกมา ก็จะถูกต้องเสมอ ฟังท่านพูดแล้วเชื่อเลย ห้ามโต้แย้ง ราวกับว่าคำพูดของท่านคือกฎหมาย เพราะบรรดาพ่อยกแม่ยก มิตรรักแฟนเพลง คนฟังจำนวนหนึ่งพร้อมจะเชื่ออยู่แล้วก่อนที่จะพูดอะไรออกมาเสียอีก

       ปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทย อาจจะต้องเริ่มต้นแก้ปัญหาโดยการให้คนในสังคมเข้าใจว่า  การเชื่อ กับการฟัง เป็นคนละความหมาย เราไม่ควรจะเชื่อทุกอย่างที่มีคนพูด แต่เราควรจะอดทนฟังทุกฝ่าย ไม่ใช่ฟังเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ส่วนความเชื่อเป็นเรื่องของเราที่จะตัดสินเอง หลังจากฟังทุกฝ่ายพูดแล้ว ว่าจะเห็นด้วยหรือเห็นต่าง เริ่มต้นแบบง่าย ๆ อาจจะช่วยคลี่คลายบางอย่างได้

       ที่เขียนมาทั้งหมดอย่าเพิ่งเชื่อ อ่านแล้วไปคิดต่อเองครับ

SOURCE : www.bangkokbiznews.com