“นักอนาคตศาสตร์” อาชีพใหม่ ที่จะเข้ามาพลิกโฉมการพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคมไทย
การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี สังคมและสภาวะแวดล้อมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและก้าวกระโดด ทำให้องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนกำลังเผชิญกับข้อจำกัดในการวางแผนกลยุทธ์และนโยบาย ดังนั้น “การมองอนาคต” จึงเป็นหนึ่งในทักษะการเป็นผู้นำที่สำคัญ
ประเทศชั้นนำอย่างสิงคโปร์ ฟินแลนด์ สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น เกาหลี รวมถึงมาเลเซีย ล้วนให้ความสำคัญต่อ “การมองอนาคต” มาเป็นเครื่องมือทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐต่างๆ เพื่อกำหนดนโยบายการพัฒนาระยะยาวนำไปสู่การพัฒนาภาพอนาคตที่ต้องการได้
“นักอนาคตศาสตร์” มีหน้าที่อะไรบ้าง ?
“นักอนาคตศาสตร์” จะเป็นผู้วิเคราะห์ภาพของอนาคตที่จะเกิดขึ้น ผ่านการประมวลผลข้อมูลทางสถิติ เพื่อสะท้อนให้เห็นสิ่งที่ต้องเตรียมรับมือและการปรับตัวในมิติต่าง ๆ และคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมใน 3 มิติสำคัญในทศวรรษใหม่ของประเทศไทย ได้แก่ ระบบสังคม ความเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่มูลค่าโลก
งานหลักที่นักอนาคตศาสตร์ จะต้องทำก็คือ การคาดการณ์โอกาส และความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า โดยจารณาวิเคราะห์สิ่งที่เกิดบนพื้นฐานเชิงบริบท แนวโน้มความเปลี่ยนแปลง และภาพอนาคตที่มุ่งหวัง เพื่อทำความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงและผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ พร้อมหาแนวทางป้องกันหรือพัฒนานวัตกรรมเพื่อรองรับประเด็นต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย
ปัจจุบัน มีหน่วยงานระดับสากลอย่าง องค์กรนานาชาติชั้นนำอย่าง ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) และสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) นำศาสตร์ด้านการมองอนาคตไปใช้ในการวางแผนพัฒนาและฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ สังคม การปกครองและความมั่นคงประเทศ ในระยะยาวอย่างจริงจัง พร้อมกำหนดให้เป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ซึ่งประเทศชั้นนำและประเทศที่พัฒนาแล้ว ล้วนนำมาใช้จนประสบผลสำเร็จแทบทั้งสิ้น
“นักอนาคตศาสตร์” ผู้พลิกโฉมการพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคมไทย ในทศวรรษใหม่
สำหรับประเทศไทยก็ได้ให้ความสำคัญกับ “การมองอนาคต” ด้วยเช่นกัน โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA จึงได้มีการจัดตั้ง “สถาบันการมองอนาคตนวัตกรรม : Innovation Foresight (IFI)” ขึ้นในปี 2561
นอกจากจะปรับเปลี่ยนและยกระดับศักยภาพด้านต่าง ๆ ของประเทศไทยแล้ว สถาบัน IFI ยังเร่งผลักดันให้เกิดนักอนาคตศาสตร์เพิ่มมากขึ้น เพื่อนำไปสู่การจัดทำนโยบายเชิงนวัตกรรมที่เป็นยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนองค์กรและประเทศในอนาคต
นับตั้งแต่เปิดสถาบัน IFI ก็ได้นำอนาคตศาสตร์ มาศึกษาประเด็นความเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่ย่านนวัตกรรม (Innovation District), การศึกษาภาพอนาคตเพื่อพัฒนานวัตกรรมเชิงสังคมในพื้นที่ (Social Foresight)
สำหรับปี 2564 จะมีการใช้อนาคตศาสตร์มาวิเคราะห์ถึงแนวโน้มปัญหาและความต้องการทางสังคมที่ถือเป็นกระแสความเปลี่ยนแปลงหลักสำหรับประเทศไทยในช่วงทศวรรษใหม่ ในปี 2021 – 2030 พร้อมคาดการณ์โอกาสของนวัตกรรมที่จะเข้ามาช่วยปรับเปลี่ยนและยกระดับคุณภาพชีวิตใน 3 มิติ คือ
ระบบสังคม (Social System)
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ, โครงสร้างประชากร และรูปแบบระบบการเมืองการปกครอง ส่งผลให้ระบบสังคมเกิดความแตกต่าง และความไม่เท่าเทียมกันอย่างเห็นได้ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ภาครัฐจึงต้องเป็นตัวกลางเร่งให้เกิดนวัตกรรมสังคม และนวัตกรรมให้บริการสาธารณะ ที่เข้าถึงประชาชนทุกคน
โดยเน้นส่งเสริมการกระจายอำนาจบริหารจัดการ และการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อเปิดโอกาสสำหรับความคิดที่แตกต่าง และส่งเสริมให้เกิดความเท่าเทียมกันในระบบสังคมมากยิ่งขึ้น
ความเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม (Climate Change)
นอกจากภาวะวิกฤติด้านสาธารณสุขที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเท่านั้น วิกฤติด้านสิ่งแวดล้อม เช่น โลกร้อน, ขยะพลาสติก, ฝุ่น PM2.5, วิกฤติด้านภัยธรรมชาติ เช่น ไฟป่า, น้ำท่วม, น้ำแล้ง, แผ่นดินไหว ก็เป็นหนึ่งในความท้าทายของมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งล้วนเกิดจากพฤติกรรมของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ระบบเศรษฐกิจและการผลิตที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพและผลกำไร จึงถือเป็นปัญหาสำคัญที่เราควรตระหนัก และเร่งทำนวัตกรรมที่จะสามารถรับมือกับปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่มูลค่าโลก (Global Value Chain)
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนยังคงมีอยู่ และยิ่งเมื่อสหรัฐมีผู้นำคนใหม่ ทำให้เป็นเรื่องที่น่าจับตามองว่าจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่มูลค่าโลก ทั้งผู้ผลิตต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ รวมถึงผู้บริโภคอย่างไร ระบอบเทคโนโลยีจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ใครจะเป็นผู้ควบคุมระบบจัดซื้อจัดจ้างขนาดใหญ่นี้ และประเทศไทยโดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ก็จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
ในภาวะที่ไทยกำลังเผชิญกับปัญหาในหลากหลายด้าน วิกฤติเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยแนวทางการดำเนินการรูปแบบใหม่ที่จะสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดอย่างยั่งยืน ซึ่งนี่จะเป็นโอกาสของธุรกิจนวัตกรรม หากคุณสามารถนำข้อมูลจากการคาดการณ์อนาคตมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เพื่อวางแผนพัฒนาและฟื้นฟูประเทศในระยะยาว นำไปสู่การเชื่อมโยงเครือข่าย ช่วยฟื้นฟูธุรกิจ และส่งเสริมให้โมเดลทางธุรกิจมีความแข็งแกร่งมากขึ้นไปด้วยกัน