บทตวามโดย นายทรงยศ บรรจงมณี
ผู้อำนวยการฝ่ายจดทะเบียนหลักทรัพย์ 3
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะ ธุรกิจการท่องเที่ยวที่มีสัดส่วน 16% ของ GDP ของประเทศในปี 2562* โดยจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2563 ลดลงเหลือ 6.7 ล้านคน จาก 39.9 ล้านคนในปี 2562** หรือลดลงถึง 83% ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจจำนวนมาก ขาดรายได้และประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง

เพื่อให้ภาคธุรกิจมีทางเลือกในการระดมทุนเพื่อเสริมสภาพคล่องจากหลายช่องทางภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน นอกเหนือจากการขอสินเชื่อจากธนาคาร ออกหุ้นกู้ หรือออกหุ้นทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จึงออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลัง ประสบปัญหาด้านสภาพคล่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยเปิดทางให้ผู้ประกอบธุรกิจ ในภาคอสังหาริมทรัพย์สามารถระดมทุนผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า REIT buy-back

มาทำความรู้จักกับ REIT กันก่อน....
ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า REIT มี ลักษณะเป็นกองทรัพย์สินที่รวบรวมเงินจากผู้ที่สนใจลงทุนหลาย ๆ คน เพื่อเอาเงินไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เช่น โรงงาน โกดังสินค้า โรงแรม ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน โดยอาจลงทุนในรูปแบบของกรรมสิทธิ์ (freehold) หรือสิทธิการเช่า (leasehold) ก็ได้

โดยมี ผู้จัดการกองทรัสต์ (REIT manager) ที่มีความ เชี่ยวชาญในการบริหารอสังหาริมทรัพย์ประเภทนั้น ๆ ทำหน้าที่คัดเลือกทรัพย์สินที่มีศักยภาพในการสร้าง รายได้และบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ที่ REIT นั้นลงทุนอยู่และมี “ทรัสตี” (Trustee) ทำหน้าที่กำกับดูแล การทำหน้าที่ของผู้จัดการกองทรัสต์อีกทอดหนึ่ง เมื่อ REIT มีรายได้จากค่าเช่า จะนำเงินมาจ่ายปันผลให้กับ ผู้ลงทุน

REIT จึงเป็นเครื่องมือที่ใช้อย่างแพร่หลายสำหรับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการระดมทุน และยังเป็น ทางเลือกให้กับผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่บริหารโดยผู้เชี่ยวชาญ

ทางเลือกใหม่ REIT buy-back

สำหรับ REIT buy-back นั้น เป็นทางเลือกใหม่ในการระดมทุนผ่าน REIT โดย REIT จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ใน ราคาที่มีส่วนลด และเจ้าของอสังหาริมทรัพย์สามารถทำข้อตกลงที่จะซื้อคืนจาก REIT ภายใต้เงื่อนไขและราคา ที่ตกลงไว้ล่วงหน้า ซึ่งการกำหนดเงื่อนไขการซื้อคืนจะช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่ (ไม่ว่า REIT buy-back ทางเลือกใหม่สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และผู้ลงทุน (เผยแพร่เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2564) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) “ก.ล.ต. ดูแลตลาดทุน เพื่อให้คุณมั่นใจ” 2 จะมีรายได้หรือไม่มีรายได้) มาระดมทุนเพื่อเสริมสภาพคล่องทำให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และยังรักษา ความเป็นเจ้าของในอสังหาริมทรัพย์ไว้ได้ เพราะหากสถานการณ์ดีขึ้นสามารถซื้อคืนได้

REIT buy-back ที่ ก.ล.ต. ออกหลักเกณฑ์มานั้น จึงเป็นมาตรการที่ช่วยแก้ปัญหาให้แก่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยตรง และยังเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ผู้ลงทุนมีโอกาสลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพในราคาส่วนลด จึงทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคาลงทุนและราคาที่เจ้าของจะซื้อคืน

ตามหลักเกณฑ์ของ ก.ล.ต. จะแบ่ง REIT buy-back เป็น 2 รูปแบบ ตามความเสี่ยงและความซับซ้อนของ ข้อตกลง เพื่อให้เหมาะสมกับผู้ลงทุนแต่ละกลุ่ม ได้แก่


 

(1) REIT buy-back ที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปได้
จะต้องมีข้อตกลงที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์มี“ภาระผูกพันในการซื้อคืน” (obligation) เพื่อให้ ผู้ลงทุนรู้แน่ชัดว่าจะได้รับผลตอบแทนเท่าไร และต้องเปิดเผยข้อมูล credit rating ของเจ้าของ อสังหาริมทรัพย์เดิมด้วย เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน เนื่องจากความเสี่ยงหลักของ “REIT buy-back ที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไป” นั้น อยู่ที่ความสามารถในการมาซื้อคืนของเจ้าของ

(2) REIT buy-back ที่เสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra-High Net Worth) เท่านั้น
REIT buy-back ในรูปแบบนี้จะมีความเสี่ยงสูงกว่าแบบแรก เพราะสามารถเลือกได้ว่าจะกำหนดเป็น “ภาระผูกพันในการซื้อคืน” (obligation) โดยไม่จำเป็นต้องมี credit rating ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เดิม หรือ กำหนดเป็นข้อตกลงที่ให้“สิทธิ” เจ้าของอสังหาริมทรัพย์เดิมมาซื้อคืน (option) ก็ได้ ซึ่งกรณี option 3 นั้น เจ้าของอสังหาริมทรัพย์อาจจะซื้อคืนหรือไม่ก็ได้ โดยที่เจ้าของเดิมจะมาใช้สิทธิซื้อคืนเมื่อราคาในตลาดสูง กว่าราคาใช้สิทธิที่กำหนดไว้แต่หากราคาในตลาดต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ เจ้าของเดิมก็อาจเลือกไม่มาซื้อคืน จึงทำ ให้ผู้ลงทุนจึงมีความเสี่ยงมากกว่าแบบแรก

การลงทุนใน REIT buy-back จึงมีความแตกต่างจาก REIT ทั่วไป ทั้งลักษณะผลตอบแทนและความเสี่ยง ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาศักยภาพของอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุน และความเหมาะสมของราคาที่ REIT เข้าลงทุน เป็นสำคัญ รวมถึงควรคำนึงถึงความเสี่ยงและผลกระทบหากเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เดิมไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ที่อาจเกิดขึ้นด้วย

หลังจากที่ ก.ล.ต. ออกหลักเกณฑ์ REIT buy-back ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 นั้น มีผู้ประกอบธุรกิจหลายรายให้ความสนใจ โดยปัจจุบันมีผู้จัดการกองทรัสต์ที่ยื่นคำขอเสนอขายหน่วยทรัสต์ เพื่อที่จะไปลงทุนในทรัพย์สินภายใต้แนวคิด REIT buy-back ต่อ ก.ล.ต. แล้ว โดยผู้ลงทุนสามารถศึกษาข้อมูล และติดตามความคืบหน้าได้ที่เว็บไซต์ ก.ล.ต. (www.sec.or.th)

นอกจากนี้ ก.ล.ต. อยู่ระหว่างปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้มีความยืดหยุ่นในการลงทุนมากขึ้น โดยให้สามารถลงทุน ในสิทธิการเช่า (leasehold) ได้เพิ่มเติม โดยจะออกหลักเกณฑ์เพิ่มเติมในเร็ว ๆ นี้

ก.ล.ต. มุ่งหวังให้ตลาดทุนมีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือภาคธุรกิจเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อเสริมสภาพคล่อง รักษาทรัพย์สินและการจ้างงานให้ผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้ และเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ลงทุนสามารถ ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพผ่าน REIT buy-back ได้เช่นเดียวกัน

ที่มา :
* การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รวบรวมข้อมูลด้วย Krungthai COMPASS
** กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา (ณ วันที่ 25 มกราคม 2564)

ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ต้นฉบับ คลิก  https://www.sec.or.th/TH/Template3/Articles/2564/190464.pdf 
และ https://web.facebook.com/sec.or.th/posts/813087215994484?_rdc=1&_rdr