ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผย ผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยของภาคเหนือ พบว่า ตลาดชะลอตัวอย่างมาก ในด้านอุปทานของหน่วยเปิดขายใหม่ ลดลง 56.6% มูลค่าลดลง 61.2% โดยเฉพาะอาคารชุดเปิดขายใหม่ ที่ลดลงถึง 89.9% ชี้ว่าผู้ประกอบการมีการชะลอพัฒนาโครงการใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก เชียงใหม่ ลดลงกว่า 72% และ 65.1% ตามลำดับ

 

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวว่า  พื้นที่ภาคเหนือในช่วงครึ่งแรกของปี 64 มีโครงการที่อยู่อาศัยใหม่เข้าสู่ตลาดน้อย โดยมีเพียง 869 หน่วย หรือ ลดลง 56.6% มีมูลค่ารวม 2,457 ล้านบาท หรือ ลดลง 61.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

โดย จ.เชียงใหม่ มีจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยใหม่เข้าสู่ตลาดมากที่สุด รองลงมาเป็น จ.เชียงราย นครสวรรค์ ตาก และพิษณุโลก ตามลำดับ ส่งผลให้อุปทานที่อยู่อาศัยทั้งหมดที่มีการขายในพื้นที่ภาคเหนือ มีจำนวนรวม 17,666 หน่วย หรือ เพิ่มขึ้น 1.9% มีมูลค่ารวม 65,408 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 4.3%

แต่เมื่อลงรายละเอียดของอัตราการขยายตัวกลับ พบว่า พื้นที่ จ.พิษณุโลก โครงการใหม่มีการชะลอตัวมากที่สุด ถึง 72% ซึ่งเป็นการลดลงของการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรทั้งหมด ส่วน จ.เชียงใหม่ ลดลง 65.1% เป็นการลดลงของการพัฒนาโครงการอาคารชุดมากถึง 97.1% และบ้านจัดสรรลดลง 11.1%  และจังหวัดเชียงรายลดลง 19.7% ซึ่งเป็นการลดลงของการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรทั้งหมด ตามลำดับ ส่วนในจังหวัดตากพบการชะลอตัวของหน่วยเปิดขายใหม่ราว 3.2% โดยเป็นการลดลงของการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรทั้งหมด

 

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้ประมาณการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่จะเข้าสู่ตลาดในปี 64 จำนวนประมาณ 2,939 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 8,644 ล้านบาท แบ่งเป็น

- โครงการบ้านจัดสรรประมาณ 2,330หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 7,003 ล้านบาท

- โครงการอาคารชุดประมาณ 609 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 1,641 ล้านบาท

            ทั้งนี้คาดว่าในช่วงครึ่งหลังปี 64 อัตราการขยายตัวของหน่วยโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่จะมีอัตราติดลบที่น้อยกว่าช่วงครึ่งปีแรก โดยจะลดลงราว 5.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าลดลงประมาณ 20.7%

 

สำหรับแนวโน้มปี 2565 ศูนย์ข้อมูลฯ คาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่จะเข้าสู่ตลาดภาคเหนือจำนวนประมาณ 4,412 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 13,095 ล้านบาท แบ่งเป็น

- โครงการบ้านจัดสรรประมาณ 3,492 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 10,441 ล้านบาท  

- โครงการอาคารชุดประมาณ 920 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 2,654 ล้านบาท

            โดยช่วงครึ่งแรกปี 65 อัตราการขยายตัวของหน่วยโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่จะเพิ่มขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกของปี 64 ถึง 148.1% และคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 9% ในช่วงครึ่งหลังของปี 65 ส่วนมูลค่าในครึ่งแรกของปี 65 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 158.6% และเริ่มชะลอตัวในช่วงครึ่งหลังปี 65

 

ส่วนหน่วยขายได้ใหม่ พบว่า ภาพรวมในพื้นที่ของภาคเหนือลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า ประมาณ 1,963 หน่วย หรือ ลดลง 34.6% และมีมูลค่า 7,102 ล้านบาท หรือ ลดลง 33.4% โดยลดลงมากในเชียงใหม่ รองลงมาเป็นเชียงราย ส่วนตาก และพิษณุโลก กลับมียอดขายที่เพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นการเพิ่มขึ้นจากฐานที่ต่ำ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขายอยู่ในตลาดประมาณ 15,703 หน่วย และมีมูลค่ารวมประมาณ 58,306 ล้านบาท แบ่งเป็น บ้านจัดสรร 14,003 หน่วย มูลค่า 53,594 ล้านบาท และ อาคารชุด 1,700 หน่วย มูลค่า 4,712 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า 9.6% และ 12% ตามลำดับ

โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และพิษณุโลก แต่จังหวัดตากกลับมีหน่วยเหลือขายที่ลดลง โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของหน่วยบ้านจัดสรรเหลือขาย 15.1% ขณะที่หน่วยอาคารชุดเหลือขายลดลง 21.2% ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่ผู้ประกอบการปรับตัวโดยลดจำนวนของการพัฒนาโครงการอาคารชุดเปิดตัวใหม่ลง แต่ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจไปพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรเข้ามาสู่ตลาดมากเพิ่มขึ้น

  • เชียงใหม่    มีจำนวนเหลือขายรวม 9,213 หน่วย มูลค่า 37,049 ล้านบาท
  • เชียงราย     มีจำนวนเหลือขายรวม 2,749 หน่วย มูลค่า 10,746 ล้านบาท
  • พิษณุโลก    มีจำนวนเหลือขายรวม 2,589 หน่วย มูลค่า 7,585 ล้านบาท
  • ตาก และ นครสวรรค์ มีหน่วยเหลือขายไม่มากประมาณไม่เกินจังหวัดละ 600 หน่วย

 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเภทบ้านจัดสรร โดยอัตราดูดซับจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกปี 2565 เป็นต้นไป

ในส่วนของหน่วยขายได้ใหม่ ศูนย์ข้อมูลฯ คาดว่า ในปี 64  ตลาดที่อยู่อาศัยในภาคเหนือจะมีหน่วยขายได้ใหม่จำนวนประมาณ  4,597 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 16,049 ล้านบาท แบ่งเป็น

- โครงการบ้านจัดสรรประมาณ  3,627 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 13,277 ล้านบาท

- โครงการอาคารชุดประมาณ  970 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ  2,772 ล้านบาท

 

            โดยคาดว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2564 จะมีหน่วยขายได้ใหม่มากกว่าครึ่งปีแรก หรือมีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 27.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าเพิ่มขึ้นประมาณ 24.2%  และในปี 65 คาดการณ์ว่าจะมีหน่วยขายได้ใหม่จำนวนประมาณ  4,990 หน่วย มูลค่ารวม 16,365 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งแรกปี 2565 ตลาดที่อยู่อาศัยในภาคเหนือจะมียอดขายที่ดีขึ้นกว่าครึ่งแรกของปี 64 ราว 26.5% และคาดว่าจะชะลอตัวลดลง 4.9% ในช่วงครึ่งหลังของปี 65

            ในขณะที่มูลค่าในครึ่งแรกของปี 2565 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 15.4% และชะลอตัวลดลง 8.7% ในช่วงครึ่งหลังปี 65  โดยเป็นผลมาจากการคาดการณ์ภายใต้สถานการณ์ที่ประเทศไทยสามารถกระจายวัคซีนได้ทั่วถึง และหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลายลง

            ศูนยข้อมูลฯ เชื่อมั่นว่าสถานการณ์ของหน่วยเปิดขายใหม่ของพื้นที่ภาคเหนือจะปรับตัวดีขึ้นกว่าครึ่งแรกของปี 64 โดยเฉพาะจ.เชียงใหม่ เพราะเป็นเมืองที่มีศักยภาพสูงทั้งในด้านการพักอาศัยระยะยาวและด้านการท่องเที่ยว