อสังหาฯภาคใต้ รอลุ้นวัคซีนช่วยกระตุ้นกำลังซื้อคาดฟื้นตัวครึ่งหลังปี 65
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวว่า ผลสำรวจภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยของภาคใต้ (จังหวัดภูเก็ต สงขลา นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี) ในครึ่งปีแรกของปี 64 ตลาดมีการชะลอตัวอย่างมากในด้านอุปทานของหน่วยเปิดขายใหม่ โดยมีหน่วยเข้าสู่ตลาดน้อยมาก เพียง 1,386 หน่วย หรือลดลง20.3% มูลค่ารวม 5,811 ล้านบาท หรือลดลง 38.6% โดยเป็นการลดลงทั้งในส่วนของอาคารชุดและบ้านจัดสรรเปิดขายใหม่ 27.9% และ 17.7%ตามลำดับ
ส่งผลให้อุปทานที่อยู่อาศัยทั้งหมดที่มีการขายในพื้นที่ภาคใต้ มีจำนวนรวม 16,701 หน่วย หรือลดลง 1.7%และมีมูลค่ารวม 72,956 ล้านบาท หรือลดลง 1.8%
ทั้งนี้ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและสงขลา ผู้ประกอบการมีการชะลอตัวในการพัฒนาโครงการใหม่ โดยมีจำนวนหน่วยลดลง 88.7% และ 16.7% ตามลำดับ ส่วนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีการพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มขึ้นถึง 844.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และจังหวัดนครศรีธรรมราช มีการพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเป็นโครงการบ้านจัดสรรทั้งหมด เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ไม่มีหน่วยเปิดขายใหม่เลย
ภาพรวม อุปสงค์ของหน่วยขายได้ใหม่ พบว่า ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าเพิ่มขึ้น 7.5% ราว 1,508 หน่วย และ 2.1% มูลค่า 5,479 ล้านบาท ตามลำดับ ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขายอยู่ในตลาดประมาณ 15,193 หน่วย มีมูลค่ารวมประมาณ 67,207 ล้านบาท ลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า 2.6% และ 2.1% โดยเป็นการลดลงของหน่วยบ้านจัดสรรเหลือขาย 4.9% ขณะที่หน่วยเหลือขายอาคารชุดเพิ่มขึ้น 1.9%
สำหรับ ในปี 2565 คาดว่าหากมีการกระจายวัคซีนได้ทั่วถึงจะทำให้สถานการณ์ที่อยู่อาศัยปรับตัวดีขึ้น และจะส่งผลให้มีหน่วยที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดไม่น้อยกว่า 5,799 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 24,994 ล้านบาท แบ่งเป็น
โครงการบ้านจัดสรรประมาณ 3,011 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 12,066 ล้านบาท
โครงการอาคารชุดประมาณ 2,788 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 12,928 ล้านบาท
โดยคาดว่าในช่วงครึ่งแรกปี 2565 อัตราการขยายตัวของหน่วยโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เพิ่มขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ถึง 76.3% และคาดว่าในปี 65 จะมีหน่วยขายได้ใหม่จำนวนประมาณ 5,272 หน่วย มูลค่ารวม 21,889 ล้านบาท ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขายสะสมลดลง เหลือประมาณ 15,302 หน่วย หรือลดลง 0.2% มูลค่ารวมประมาณ 65,847 ล้านบาท ประกอบด้วย
โครงการบ้านจัดสรรประมาณ 9,890 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 38,485 ล้านบาท
โครงการอาคารชุดประมาณ 5,412 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 27,362 ล้านบาท
โดยอัตราดูดซับจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกปี 65 และจะชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 65 เป็นต้นไป