• ​​บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) (“FPIT”) เพิ่มเงินลงทุนปี 2565 มูลค่าหนึ่งหมื่นล้านบาท เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจตามแผนกลยุทธ์ ‘น่านน้ำสีม่วง’ ชูยุทธศาสตร์ “เราพร้อม” (We are ready) และ “เราต่าง” (We are different) พลิกโฉมการพัฒนาอสังหาฯเพื่ออุตสาหกรรมสู่ยุคใหม่  ตั้งเป้าขยายพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการจากปัจจุบัน 3 ล้านตารางเมตร เป็น 4 ล้านตารางเมตร ภายในปี 2568 เพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด รักษาความเป็นผู้นำ
  • ตอกย้ำสถานะผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจอสังหาฯเพื่ออุตสาหกรรม ทั้งในด้านการให้บริการโรงงานและคลังสินค้าทุกรูปแบบ หลังโควิดเร่งส่งมอบโครงการแบบ Built-to-Suit กว่า 200,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ ยังมีที่ดินสะสมพร้อมพัฒนาจำนวนมาก (Land Bank) บนทำเลยุทธศาสตร์ที่สำคัญของภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน 
  • FPIT เพิ่มโฟกัสส่งมอบพื้นที่ให้แก่ลูกค้ากลุ่ม New Economy (ธุรกิจยุคเศรษฐกิจใหม่) ที่กำลังมีการเติบโตสูง อาทิ อีคอมเมิร์ซ เอ็กเพรสดิลิเวอร์รี่ อิเล็กโทรนิกส์ ยานยนต์อีวี และอุปกรณ์การแพทย์ เป็นต้น พร้อมเตรียมเปิดตัวเมกะโปรเจ็คเมืองอุตสาหกรรม และ โลจิสติกส์-บิสเนสปาร์คใกล้เมือง เร็วๆนี้
  • สอดรับกับวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนของแบรนด์เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ FPIT มุ่งมั่นในการดำเนินงานตามมาตรฐานสูงสุดภายใต้แนวคิดด้าน ESG โดยทุกโครงการจะถูกพัฒนาตามมาตรฐานอาคารเขียว พร้อมนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับการให้บริการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ "FPIT" ผู้นำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมสมัยใหม่ของอาเซียน ภายใต้กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ "FPT" กางแผนธุรกิจปี 2565 และมองถึงโอกาสในอนาคตของธุรกิจอีก 5 ปีข้างหน้าหลังยุคโควิด-19  รุกปรับเกมอสังหาฯเพื่ออุตสาหกรรม ภายใต้กรอบกลยุทธ์ “น่านน้ำสีม่วง” (Purple Ocean Strategy) และยุทธศาสตร์ “เราพร้อม” (We are ready) และ “เราต่าง” (We are different) จัดงบลงทุนเพิ่มจำนวน หนึ่งหมื่นล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการดำเนินงานในโครงการปัจจุบัน และโครงการเมกะโปรเจ็คท์ รวมถึงการขยายฟุตพรินท์ในต่างประเทศ  โดยโครงการใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของภาคอุตสาหกรรมไทย

ด้วยความมุ่งมั่นของ FPIT ในการพลิกโฉมการให้บริการอสังหาฯเพื่ออุตสาหกรรมสู่ยุคใหม่  การันตีด้วยคุณภาพมาตรฐานระดับสากล ที่มาพร้อมกับโซลูชั่นครบวงจร ผสานจุดเด่นด้านความยั่งยืน (Sustainability) ในทุกมิติ อาทิ การอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ใช้งานในอาคาร ตลอดจนชุมชนรอบข้าง นอกจากนี้ยังประยุกต์ใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีที่ช่วยสนับสนุนให้เกิดการให้บริการแก่ลูกค้าภายในพื้นที่โครงการของ FPIT  ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ต้องการของกลุ่มลูกค้าบริษัทชั้นนำในปัจจุบัน

นายโสภณ ราชรักษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในปี 2565 นี้ บริษัทฯ จะต่อยอดความสำเร็จของกลยุทธ์น่านน้ำสีม่วง ที่ขับเคลื่อนธุรกิจให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และเพิ่มขีดสามารถขององค์กรเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงหลังยุคโควิด-19 สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน นำเสนอจุดแข็งที่โดดเด่นและแตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่นอย่างชัดเจน  ในปีนี้ บริษัทฯ มีแผนจะลงนามสัญญาพัฒนาอาคารอุตสาหกรรมใหม่ พื้นที่รวมกว่า 200,000 ตารางเมตร และยังมีลูกค้าในไปป์ไลน์ที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาอีกจำนวนมาก

เนื่องจากความต้องการใช้พื้นที่อาคารโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ FPIT ยังเตรียมเปิดตัวเมกะโปรเจ็คท์อีก 2 โครงการ ได้แก่ เมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และ โลจิสติกส์-บิสเนสปาร์คขนาดเล็กใกล้เมือง ซึ่งจะกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยบริษัทฯ จะใช้ประสบการณ์และความชำนาญที่สั่งสมมายาวนานกว่า 30 ปี พร้อมกับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในการนำองค์ความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ที่เป็นเลิศตามแนวคิดในการดำเนินธุรกิจของ FPIT ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์พื้นที่แห่งแรงบันดาลใจที่เอื้อให้ธุรกิจของลูกค้าดำเนินไปได้อย่างไร้รอยต่อ หรือ Inspiring Seamless Business Solution Experience”

ปัจจุบัน พอร์ตโฟลิโออาคารอุตสาหกรรมของ FPIT มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย โดยมีพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการรวมทั้งสิ้น 3.1 ล้านตารางเมตร ครอบคลุมพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย รวมถึงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งยังมีโรงงานมาตรฐานและคลังสินค้าสำเร็จรูปพร้อมให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการพื้นที่แบบเร่งด่วน FPIT ยังคงเป้าหมายในการขยายพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการรวมสู่ 4 ล้านตารางเมตร ภายในปี 2568 หรือ ตั้งเป้าขยายพื้นที่ 150,000-200,000 ตารางเมตรต่อปี

นอกจากการลงทุนในประเทศไทยแล้ว FPIT ยังใช้ประสบการณ์ที่มีเพื่อลงทุนในต่างประเทศ โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2558 ที่บริษัทฯได้เริ่มเข้าไปลงทุนในธุรกิจพัฒนาคลังสินค้าสำหรับเช่าในประเทศอินโดนีเซีย ปัจจุบันมีพื้นที่ให้บริการรวมกว่า 150,000 ตารางเมตร  และล่าสุดเมื่อปีที่ผ่านมา FPIT ได้ขยายการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯเพื่ออุตสาหกรรม ที่เมืองบินห์เยือง ประเทศเวียดนาม ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าอย่างท่วมท้น จึงเตรียมเดินหน้าเปิดโครงการเฟส 2 เพิ่มเติมอีก 70,000 ตารางเมตร จึงจะทำให้บริษัทฯ มีพื้นที่เช่าให้บริการในประเทศเวียดนามรวมทั้งสิ้นกว่า 100,000 ตารางเมตร


“FPIT มั่นใจว่าธุรกิจอาคารอุตสาหกรรมหลังยุคโควิด-19 โดยเฉพาะคลังสินค้าจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น และกลายเป็นหัวใจของธุรกิจการค้าระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค (New Center of Gravity) ทำให้บริษัทต้องเร่งปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในระยะสั้นเพื่อให้สามารถตอบรับกับความต้องการใหม่เหล่านี้ และต้องสามารถสร้างการเติบโตได้ในระยะยาว เคียงข้างกับลูกค้า พนักงาน พันธมิตร ตลอดจนชุมชนแวดล้อม และผลักดันให้บริษัทฯ เป็นหน่วยเศรษฐกิจที่สามารถขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยให้เดินหน้าต่อไปได้หลังภาวะวิกฤตโควิด (Post Covid-19) โดยเชื่อว่าทุกโครงการสำคัญของ FPIT จะเป็นต้นแบบของธุรกิจอสังหาฯเพื่ออุตสาหกรรม ที่จะส่งเสริมและผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวมให้แก่ประเทศไทยต่อไป เราพร้อมเดินหน้าพัฒนาพื้นที่ เพื่อให้ลูกค้าได้ใช้เพื่อสร้างอนาคตของตน”  นายโสภณ กล่าว