LPP เติบโต 2 เท่าใน 5 ปี วางแผน 3 ปี เข้าตลาดหุ้น พร้อมขยายธุรกิจบริหารจัดการอาคารครบวงจร
LPP เปิดแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี (2565 - 2569) เดินหน้าสู่การเป็นบริษัทบริหารจัดการอาคาร หรือจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร พร้อมจับมือพันธมิตรสร้างความแข็งแกร่ง และนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2567 และตั้งเป้ายอดขายรวมในปี 2565 ที่ 2,300 ล้านบาท
30 ปีแห่งความสำเร็จที่บอกต่อ สู่การขยายฐานเติบโตในอนาคต
นางสาวสมศรี เตชะไกรศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด กล่าวว่า จากประสบการณ์การบริหารจัดการอาคารมานานกว่า 30 ปี บริษัทได้สั่งสมประสบการณ์และพัฒนาต่อยอดการบริหารจัดการอาคารมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 200 โครงการ 160,000 ครอบครัว และผู้พักอาศัยจำนวนกว่า 300,000 คน ไม่รวมงานบริการด้านอื่นๆ ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ในช่วงที่เกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 บริษัทได้เผชิญกับความท้ายทายในการบริหารจัดการการอยู่ร่วมกันให้เป็นไปอย่างราบรื่นปลอดภัย โดยสามารถดูแลผู้ติดเชื้อที่อยู่อาศัยในโครงการได้ด้วย ทำให้บริษัทได้พัฒนางานบริการเพื่อดูแลผู้พักอาศัยในอาคารภายใต้แนวคิด “Cause We CARE” ซึ่งประกอบด้วย
Caution : การวางแผนการจัดการทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
Assistance : การประสานงานช่วยเหลือผู้อยู่อาศัยให้ได้รับความสะดวก ทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย
Rescue : การช่วยเหลือฉุกเฉินจากทีมสนับสนุนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน
Empathy : การร่วมสร้างวัฒนธรรม “ร่วมใจ ห่วงใย แบ่งปัน”
“ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา LPP ได้เรียนรู้จากการทำงาน พัฒนาต่อยอดอย่างต่อเนื่อง สั่งสมประสบการณ์ผ่านวิกฤติต่างๆ ทำให้เรามั่นใจว่า ด้วยความเชี่ยวชาญ ความสามารถและความพร้อมของเรา เราจะสามารถบริหารจัดการอาคารได้ในทุกรูปแบบและสถานการณ์ โดยมุ่งเน้นที่จะสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้อยู่อาศัยทั้งในโครงการพักอาศัยและโครงการเชิงพาณิชย์ ส่งเสริมคุณภาพชีวิตและวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกัน ภายใต้แนวคิด Smooth Your Living ” นางสาวสมศรี กล่าว
ภายใต้แนวคิดในการบริหารจัดการดังกล่าวทำให้บริษัทได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด และเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถต่อยอดและขยายธุรกิจออกไปนอกเหนือจากการบริหารจัดการอาคารให้กับ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) ได้ในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้บริษัทยังเน้นย้ำเรื่องการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่องโดยมีสถาบันฝึกอบรมที่เป็นของตนเองมากว่า 10 ปี โดยนอกจากมุ่งเน้นให้สามารถปฏิบัติงานตามหน้าที่ได้อย่างมีคุณภาพแล้ว ยังต้องมีจริยธรรมควบคู่ไปด้วย เพื่อการส่งมอบการดูแลที่ดีสู่ลูกค้าของเรา
นายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) บริษัทบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางและแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ของบริษัทว่า บริษัทตั้งเป้าหมายสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำ ในธุรกิจให้บริการบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร (Property & Facility Management Service Provider) ตั้งเป้ารายได้รวมที่ 2,300 ล้านบาท ในปี 2569 โดยเติบโตจาก 857 ล้านบาทในปี 2564 ถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดที่สูงกว่า 200% คิดเป็นเติบโตเฉลี่ยปีละ 22% ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาดธุรกิจบริการที่เติบโตเฉลี่ย 10 กว่า % ในแต่ละปี
จากผลการศึกษาของบริษัท พบว่าตลาดการให้บริการบริหารจัดการอาคารทั่วประเทศ จะมีมูลค่าตลาดรวมไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาทในปี 2565 รวมถึงมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 และการลงทุนของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในการพัฒนาโครงการอาคารชุดพักอาศัย อาคารสำนักงานและอาคารในเชิงพาณิชย์ เฉลี่ยปีละ 300,000 - 400,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะขับเคลื่อนให้ความต้องการผู้เชี่ยวชาญในการบริหารจัดการอาคารมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย
ภายใต้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ก้าวเข้าสู่ New S-Curve จึงเป็นโอกาสของ LPP ในฐานะผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจการบริหารจัดการอาคารมาถึง 30 ปี จะสามารถเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ โดยการเติบโตนี้จะมาจากการรุกและขยายตลาด การขยายธุรกิจและขอบเขตการให้บริการที่ครบวงจร พร้อมทั้งสร้างธุรกิจใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภค ทั้งงานด้านวิศวกรรม งานซ่อมบำรุงอาคาร บริการงานสวน บริการกำจัดแมลง การบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ รวมไปถึงการวางโครงสร้างบริหารโครงการในรูปแบบของ Franchise เป็นต้น ในส่วนงานระบบรักษาความปลอดภัยนั้น LPP ได้เปิด บริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (LSS) ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาเสริมประสิทธิภาพนอกเหนือจากการใช้พนักงานรักษาความปลอดภัย
“เราจัดสัดส่วนโครงสร้างธุรกิจในส่วนของการบริหารจัดการโครงการใหม่ จากที่เคยมุ่งเน้นบริหารโครงการให้กับ LPN เป็นหลัก ก็จะขยายไปสู่การบริหารจัดการอาคารให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายอื่นๆ ให้มากขึ้นกว่าปัจจุบัน โดยขยายจากสัดส่วนเดิมที่ 28% เป็น 45%
นอกจากนี้ บริษัทจะมุ่งเน้นขยายสัดส่วนรายได้จากงานบริการอื่นๆ ที่ไม่ใช่งานบริหารโครงการ รวมถึงการขยายธุรกิจใหม่ๆ อาทิ งานวิศวกรรม งานซ่อมบำรุงอาคาร งานบริการด้านระบบรักษาปลอดภัย การบริการทำความสะอาด บริการงานสวน บริการกำจัดแมลง และอื่นๆ ให้เติบโตจากสัดส่วนเดิมที่ 30% เป็น 50% ในปี 2569” นายสุรวุฒิกล่าว ทั้งนี้ LPP มุ่งขยายฐานจากการบริหารโครงการพักอาศัยเป็นหลัก ไปสู่การบริหารอาคารในเชิงพาณิชย์ทั้งอาคารสำนักงาน โรงแรม โรงงานอุตสาหกรรม คลังสินค้า ศูนย์การค้า หน่วยงานราชการ โรงพยาบาล และอื่นๆ ให้มากขึ้นอีกด้วย
จากการศึกษาวิจัยของบริษัทยังพบว่า หัวข้อที่ผู้อยู่อาศัยหรือผู้ใช้บริการต่างๆ ให้ความสำคัญมากคือ เรื่องความปลอดภัยและบริการ 24 ชั่วโมง LPP จึงได้ปรับงานบริการในส่วนต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย “เราได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน (Emergency Operations Center : EOC) ที่รวบรวมภาพวงจรปิดจากทุกโครงการไว้ด้วยกันพร้อมมีซอฟแวร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ มีเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์ โดยศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินพร้อมปฏิบัติงาน 24 ชั่วโมง และหากเกิดเหตุด่วนหรือความผิดปกติใดๆ จะสามารถประสานงานกับ โครงการได้ทันที และพร้อมประสานงานกับหน่วยงานราชการหรือหน่วยงานช่วยเหลือฉุกเฉิน ซึ่งทำให้ผู้อยู่อาศัยหรือผู้ใช้บริการในโครงการต่างๆ สบายใจได้”
นอกจากนี้ เพื่อเป็นบริการพิเศษในการเพิ่มความสะดวกสบาย และช่วยลดภาระค่าครองชีพแก่ผู้อยู่อาศัยในโครงการภายใต้การบริหารจัดการของ LPP บริษัทได้ขยายธุรกิจสู่บริการบนแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ในชุมชน (Community Commerce) ภายใต้ชื่อ “Living24 Store” ให้เป็นช่องทางในการเลือกซื้อสินค้าและบริการเพื่อการอยู่อาศัยที่ครบครันในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด และสะดวกในการจับจ่ายตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันที่เน้นความสะดวกสบายคล่องตัว อันถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของการบริหารจัดการโครงการ โดยบริษัทได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจหลายราย ในการนำเสนอสินค้าและมอบส่วนลดราคาพิเศษสำหรับจำหน่ายบน Living24 Store ได้แก่ น้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ น้ำแร่ธรรมชาติมิเนเร่ น้ำผลไม้ทิปโก้ เครื่องใช้ไฟฟ้า Samsung, Electrolux, Jenniferoom, LESASHA, @HOME, Lucky Misu, Bear, SMOOTHSKIN ของใช้ในบ้าน LocknLock, FN Outlet, PRALYN, Jason, EVANI, Hafele, บริการจัดเก็บของส่วนตัวนอกบ้าน/คอนโด I-Storego เป็นต้น” โดยลูกค้าสามารถเข้าใช้งานทั้งผ่านเว็บไซต์ www.living24.store ตลอด 24 ชั่วโมง หรือผ่านช่องทางไลน์เพียงแอดไลน์ @Living24Store
ทั้งนี้ เมื่อปลายปี 2564 ที่ผ่านมา บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้มีมติให้ บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด มีการบริหารงานที่เป็นอิสระ โดยยังคงฐานะเป็นบริษัทในกลุ่ม แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ แต่สามารถกำหนดนโยบายและกลยุทธ์ทางธุรกิจได้อย่างมีอิสระ
ปี 2567 เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และกรรมการบริษัท บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจบริการเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต และจากประสบการณ์กว่า 30 ปี ของ LPP ที่ส่งมอบคุณค่างานบริการให้กับโครงการภายในเครือ LPN ถึงเวลาแล้วที่ LPP จะต่อยอดศักยภาพทางธุรกิจบริการไปยังการให้บริการแก่ลูกค้าภายนอกองค์กร
ทั้งนี้ โครงสร้างทางการเงินของกลุ่มธุรกิจบริการของ LPN เป็นธุรกิจบริการที่ไม่ต้องมีสินทรัพย์จึงไม่มีหนี้สิน ส่งผลให้มีความสามารถในการขยายธุรกิจได้อย่างคล่องตัว ทั้งจากการขยายธุรกิจด้วยการลงทุนเพิ่ม และการขยายธุรกิจผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การสร้างความร่วมมือทางธุรกิจ การร่วมทุน การควบรวมกิจการ ฯลฯ
“บริษัท LPN เล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจดังกล่าว จึงปลดล็อกศักยภาพทางธุรกิจโดยการปรับโครงสร้างทางธุรกิจของ LPP ให้ครอบคลุมทุกงานบริการ และวางแผนส่งบริษัท LPP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยคาดว่า เมื่อ LPP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) อยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 4,000 ล้านบาท ในอีก 3 ปีข้างหน้าหลังจากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจากการเข้าตลาดหลักทรัพย์ดังกล่าวคาดว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นของ LPN โดยคาดการณ์ว่าจะส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของ LPN เพิ่มขึ้นจากประมาณ 7,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 เป็นประมาณ 10,000 ล้านบาท” นายอภิชาติ กล่าว
โดยสรุป 30 ปี LPN ที่ทำให้ LPN เป็นบริษัทที่เติบโตอย่างแตกต่าง กับ 4 ปัจจัยสำคัญ
- cause we care
- smooth your living
- สำเร็จจากภายใน ภูมิใจนำเสนอสู่ภายนอก
- unlock instrinsic value
พร้อมกับความเซ็กซี่ในการดำเนินธุรกิจ โดย
- การไม่มีหนี้
- การไม่มี asset
- ตลาดของบริษัทนี้ ไม่มีขอบเขต มองถึงตลาดต่างประเทศ เพราะอยากที่จะดูแลลูกบ้าน อย่างไม่มีที่สุดสิ้น