“NOBLE” โกยยอดขายปี 65 แตะ 17,400 ล้านบาท. โชว์รายได้รวมไตรมาส 4/65 แตะ 3,946 ล้านบาท โต 141% YoY – แจกปันผล 0.20 บาทต่อหุ้น
บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ โชว์งบผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4/2565 กวาดรายได้รวม 3,946 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 141% YoY และกำไรสุทธิ 338 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,185% YoY หนุนรายได้รวมปี 2565 แตะ 8,678 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 455 ล้านบาท โกยยอดขาย (Pre-Sale) พุ่งทะยานทำ Record High ที่ระดับ 17,400 ล้านบาท ส่งผลให้ Backlog ในมือรวมมูลค่า 19,627 ล้านบาท ประกาศแจกปันผล 0.20 บาทต่อหุ้น จ่อขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 9 พฤษภาคม 2566 นี้ พร้อมตอกย้ำแผนปี 2566 โตต่อเนื่อง จ่อเปิดตัว 10 โครงการ มูลค่ารวม 23,300 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้แตะ 15,000 ล้านบาท และยอดขาย (Pre-Sale) ที่ 23,000 ล้านบาท
นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) “บริษัทฯ” เปิดเผยว่า จากภาพรวมการฟื้นตัวเศรษฐกิจตั้งแต่ช่วงไตรมาส4/2565 ที่ผ่านมา ส่งผลตลาดอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวตามกำลังซื้อของผู้บริโภค ซึ่งบริษัทฯ ในฐานะผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการที่อยู่อาศัย ในทำเลชั้นนำของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้รับอานิสงส์จากกำลังซื้อที่กลับมา โดยจะเห็นจากความสำเร็จในการขายโครงการของบริษัทฯ ทำให้ผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/2565 กลับมาเทิร์นอะราวด์อย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวมที่ 3,946 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 141% YoY และกำไรสุทธิอยู่ที่ 338 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 9,185% YoY ซึ่งสาเหตุหลักๆมาจากมีการส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ทั้งหมด 5 โครงการ ซึ่งได้มีการทยอยส่งมอบตั้งแต่ไตรมาส 3-4/2565 ได้แก่ 1.) โครงการโนเบิล สเตท สุขุมวิท 39 2.) โครงการนิว ศรีนครินทร์–ลาซาล 3.) โครงการโนเบิล อราวน์ อารีย์ 4.) โครงการ นิว งามวงศ์วาน และ 5.) โครงการ นิว เซ็นเตอร์ บางนา ส่งผลให้ในปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวมที่ 8,678 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 455 ล้านบาท
ขณะที่ยอดขาย (Pre-sale) ในปี 2565 ที่ผ่านมา เติบโตทะยานแตะระดับ 17,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ (Record High) ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯมา หรือเติบโต 117% YoY สอดคล้องกับภาพรวมของเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและกำลังซื้อของผู้บริโภคกลับมา ส่งผลดีต่อ Sentiment ทั้งลูกค้าในกลุ่มที่เป็นซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) และลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุน โดยทั้ง 11 โครงการที่บริษัทฯ เปิดตัวใหม่ มูลค่าโครงการรวม 31,550 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) ณ สิ้นปี 2565 ในมือรวมมูลค่าประมาณ 19,627 ล้านบาท และมียอดโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory) ที่คาดว่าจะสามารถส่งมอบในปี 2566 ได้จำนวน 11,391 ล้านบาท ซึ่งจะรองรับการขายและการโอนกรรมสิทธิ์เพื่อสร้างการรับรู้รายได้รวมถึงผลตอบแทนที่ดีในปี 2566 อีกด้วย
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมามีมติอนุมัติการจัดสรรกำไรสุทธิงวดปี 2565 เพื่อจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.20 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราผลการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) ที่ 60.2% โดยบริษัทฯ จะนำเสนอเข้าประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ในวันที่ 27 เมษายน 2566 เพื่อทำการอนุมัติและกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2566 และกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 โดยจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการต่อยอดธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงธุรกิจตัวแทนและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์และบริการหลังการขายอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้าง synergy กับธุรกิจหลัก โดยจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่จำนวน 3 บริษัท ได้แก่ 1.) บริษัท เซิร์ฟ โซลูชั่น จำกัด 2.) บริษัท เซิร์ฟ เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด และ 3.) บริษัท เซิร์ฟ พีเอ็ม จำกัด
นายธงชัย กล่าวอีกว่า “สำหรับในปี 2566 บริษัทฯ เชื่อว่า Sentiment จะยังคงฟื้นตัวดีอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะปัจจัยการเปิดประเทศของจีน จะทำให้ความต้องการจากลูกค้าชาวจีนเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory) และสินค้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้างเพื่อรองรับผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยทั้งแบบอยู่อาศัยเองหรือเพื่อลงทุนได้มากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคชาวจีนในประเทศไทยเปลี่ยนไป โดยหันมานิยมซื้อที่อยู่อาศัยแบบสร้างเสร็จพร้อมอยู่แล้วมากขึ้นเพราะสามารถเห็นโครงการจริง อีกทั้งยังมีความต้องการห้องที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับการอยู่อาศัยเองทั้งครอบครัวจากเดิมที่นิยมซื้อเพื่อการลงทุน
สำหรับแผนปี 2566 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนทั้งสิ้น 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 23,300 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการแนวราบ รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise จำนวน 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 13,400 ล้านบาท และโครงการประเภทแนวสูงจำนวน 1 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 9,900 ล้านบาท โดยโครงการทั้งหมดจะกระจายตัวอยู่ทุกทิศของกรุงเทพฯ เช่น แถบกรุงเทพตะวันตก และตะวันออก เป็นต้น รวมถึงทำเลใจกลาง กลางเมือง อาทิ ถนนวิทยุ ทั้งนี้ จากการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจประกอบกับ Backlog ที่มีในมือ รวมถึงโครงการแนวราบที่จะเปิดตัวในปี 2566 ที่สามารถรับรู้รายได้ทันที และมีโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory) ในทำเลที่มีศักยภาพ เช่น โครงการโนเบิล สเตท สุขุมวิท 39 และโครงการโนเบิล อราวน์ อารีย์ เป็นต้น จะส่งผลให้ทิศทางการดำเนินงานในปี 2566 ของบริษัทฯ เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าจะเห็นการเติบโตของรายได้รวมที่ระดับ 15,000 ล้านบาท และยอดขายที่ระดับ 23,000 ล้านบาท” นายธงชัย กล่าวทิ้งท้าย