ไนท์แฟรงค์ จัดทัพรุกตลาดรับบริหารการขายมืออาชีพ เจาะลูกค้าไทย-ต่างชาติปั้นวอลุ่มบ้าน-คอนโดทะลุเป้า
ไนท์แฟรงค์ รุกตลาดรับธุรกิจบริหารงานตลาดและขายเต็มพิกัด จัดทัพ 4 ทีมใหม่ “ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการที่พักอาศัย” (Residential Project Marketing) โชว์ประสบการณ์ 20 ปี บริหารโครงการมูลค่ารวมกว่า 1.4 แสนล้าน ตั้งเป้าพร้อมเป็นพาร์ทเนอร์มืออาชีพสร้างแต้มต่อดีเวลอปเปอร์ ปั้นวอลุ่มยอดขายทะลุเป้าจากตลาดเป้าหมาย ลูกค้าซื้อเพื่ออยู่เอง กลุ่มนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างประเทศ ได้แก่ จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน เจาะตลาดบ้านและคอนโดมิเนียมหรู 10 ล้านขึ้นไป กรุงเทพฯ และปริมณฑล
นางสาว พจมาน วรกิจโภคาทร หัวหน้างานที่ปรึกษาที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด (Ms.Potjaman Vorakitpokathorn, Head of Residential Project Marketing) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดมิเนียม และบ้านเดี่ยว เริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 พร้อมการแข่งขันที่สูงขึ้นตาม โดยเฉพาะตลาดคอนโดหลายโครงการมีการปรับกลยุทธ์ เพื่อให้แข่งขันได้ และเร่งสร้างกระแสเงินสดให้มากที่สุด เพื่อระดมทุนจัดซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการใหม่ต่อไป
ส่วนตลาดบ้านเดี่ยว นอกจากภาวการณ์แข่งขันในตลาดแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เข้ามาทำให้ยอดขายไม่แรงอย่างที่วางแผนไว้ เช่น นโยบายการปรับขึ้นดอกเบี้ย และเป็นดอกเบี้ยแบบลอยตัว ทำให้ผู้บริโภคขอสินเชื่อซื้อบ้านยากขึ้น เนื่องจากรายได้ยังคงที่ แต่ยอดผ่อนชำระปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงวงเงินอนุมัติปล่อยกู้ลดลง
ทั้งนี้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ตลาดบ้านเดี่ยวระดับ 3-5 ล้านบาทได้รับความสนใจจากตลาดมากขึ้น แต่ปัจจัยอื่น ๆ ที่เข้ามาทำให้การตัดสินใจซื้อไม่ได้ง่ายอย่างที่ตลาดต้องการ เช่น นโยบายการปรับขึ้นดอกเบี้ย และเป็นดอกเบี้ยแบบลอยตัว ทำให้ผู้บริโภคขอสินเชื่อซื้อบ้านยากขึ้น เนื่องจากรายได้ยังคงที่ แต่ยอดผ่อนชำระปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงวงเงินอนุมัติปล่อยกู้ลดลง
จากข้อจำกัดทางธุรกิจ โดยเฉพาะการขายและการตลาดดังกล่าว เป็นที่มาของแนวคิดการ
ขยาย 4 ทีมใหม่ “ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการที่พักอาศัย” (Residential Project Marketing) เพื่อรองรับงานในอนาคต และตอบโจทย์ด้านการบริการและขายโครงการคอนโดและบ้านเดี่ยวให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะ
ในส่วนของกลยุทธ์และเป้าหมายนั้น “ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการที่พักอาศัย” แบ่งทีมการตลาดและขายออกเป็น 2 ตลาดได้แก่ คอนโดและบ้านเดี่ยว ในกลุ่มราคาระดับกลางถึงบน (Mid to High Class) 2-10 ล้านบาท และกลุ่มลักชัวรี่ (Luxury Class) 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยกลุ่มเป้าหมายหลักคือลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่เอง และกลุ่มนักลงทุนไทย กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศได้แก่ จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลซีย และไต้หวัน
ทั้งนี้ด้วยประสบการณ์ด้านการตลาดและขายอสังหาฯ 20 ปี ในประเทศไทย รับบริหารโครงการมูมาแล้วมูลค่ากว่า 140,000 ล้านบาท พร้อมเน็ตเวิร์คธุรกิจกว่า 57 ประเทศทั่วโลกใน 6 ทวีป และทีมสนับสนุนแบบ One Stop Service เช่น ทีมประเมินทรัพย์สิน ทีมศึกษาวิจัยตลาด ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลอุตสาหกรรม และวิเคราะห์เพื่อหาโอกาสทางการตลาดอสังหาฯ ได้อย่างตรงจุด อีกทั้งการทำงานร่วมกันกับเจ้าของโครงการในฐานะพาร์ทเนอร์ในการผลักดันยอดขายให้ได้ตามเป้าที่วางไว้ ซึ่งโครงการที่รับดูแลด้านการตลาดและขายจะอยู่ที่ประมาณ 10-15 โครงการ
สำหรับโครงการที่รับบริหารการตลาด และงานขาย คอนโดระดับลักซ์ชัวรี่ (Luxury Class) ในปัจจุบันคือโครงการ The Crown Residences ทำเลสาทร พระราม4 ราคาขายเฉลี่ย 250,000 บาทต่อตรม ราคาขายต่อยูนิต ประมาณ 7-30 ล้านบาท ทำเลตั้งอยู่ตรงข้ามโครงการ One Bangkok และที่กำลังเปิดอีกโครงการคือ Kingsquare Residence ทำเลพระราม 3 อยู่ตรงข้ามโรงเรียน King College International School ราคา 200,000 - 230,000บาทต่อ ตรม. ราคาขายต่อยูนิต ประมาณ 10-80 ล้านบาท
ทั้งนี้ โครงการคอนโดในอดีตระดับลักซ์ชัวรี่ที่ผ่านมาจะเป็น Branded Residence ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในย่านสาทร วิทยุ พระราม4 ริมแม่น้ำเจ้าพระยา อาทิ Mandarin Oriental Residence, Amari Phuket, Sukhothai Residences
ส่วนโครงการคอนโดระดับ Mid to High Class ราคา 70,000-190,000 บาทต่อ ตร.ม. ราคาต่อยูนิต 2-10 ล้านบาท ได้แก่ แบรนด์ Niche Mono, Niche Pride, โครงการ Aspace Bangna, โครงการ The Metropolis, โครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยา StarView และโครงการที่เน้นเจาะตลาดนักลงทุน ได้แก่ Salaya One, Bayphere Pattaya ฯลฯ
นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่เตรียมเปิดขาย ตั้งอยู่บริเวณ เอกมัย วัชรพล (ยังไม่ได้ระบุชื่อโครงการ) รวมถึงโครงการทาวน์โฮม ระดับราคา 2-6 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ The Hamilton บางกรวยไทรน้อย และ โครงการ The Mastery เทพารักษ์
ล่าสุด ทีมฯ สามารถปิดการขายโครงการเทพา รามคำแหง 118 บ้านหรูระดับราคา 9-18 ล้านบาท รวมถึงปิดการขายคอนโดSalaya One ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท มีนำ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ไปเป็นที่เรียบร้อย โดยตลอดระยะเวลา 7 เดือนของการบริหารการตลาดและขาย สามารถสร้างมูลค่ายอดขายที่ 700 ล้านบาท แบ่งเป็นการปิดการขายในส่วนของอาคาร A ขณะที่อาคาร C มียอดขายประมาณ 70% และเตรียมเปิดขายอาคาร B ซึ่งเป็นอาคารสุดท้ายของโครงการในลำดับต่อไป
“Salaya One คอนโดทำเลใกล้มหาวิทยาลัยมหิดล ประสบความสำเร็จด้านการขาย จากการวิเคราะห์ตลาด และขายตรงกลุ่มเป้าหมาย ด้วยการนำเสนอห้องดีไซน์สวย พร้อมเฟอร์นิเจอร์แบบจัดเต็ม และราคาที่จับต้องได้ สร้างโอกาสในการลงทุนซื้อเพื่อนำไปปล่อยเช่า” นางสาวพจมาน กล่าว