“เอ-เมส มัลติสโตร์” ใช้ผ้าส่วนเกิน ต่อยอดผลิตภัณฑ์ใหม่ หวังลดขยะอุตฯเครื่องนุ่งห่มให้เป็นศูนย์
เอ-เมส มัลติสโตร์ เดินหน้าเปิดตัวโครงการ “A’MAZE GREEN SOCIETY” ผนึกความร่วมมือกับพันธมิตร ในการนำผ้าส่วนเกินจากอุตสาหกรรม 20% มาสร้างสรรค์ต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อลดขยะที่เกิดจากอุตสาหกรรมให้เป็นศูนย์ (Fabric Zero Waste Alliance) และทำให้อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม เป็นอุตสาหกรรมที่มุ่งลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน (Green Industry )ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจโลกที่ประเทศไทยจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) รวมถึงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Net Zero)
นางประวรา เอครพานิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บูติคนิวซิตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เรามีแนวคิดในเรื่องของเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยสนับสนุนให้ใช้สิ่งของหรือทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของทุกอุตสาหกรรมและยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับประเทศ โดยเฉพาะการนำ “ขยะ” ที่เหลือจากกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรม นำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ เพื่อลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในระดับโลก ที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง
จึงเป็นที่มาของโครงการ A’MAZE green society by BTNC: Create your own happiness โดยมีเป้าหมายร่วมมือกับพันธมิตร และคู่ค้า ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มให้เป็น Green Industry ตามที่ประเทศไทยได้ประกาศร่วมพันธกิจโลก ภายหลังการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2564 หรือ COP26 ว่าประเทศไทยจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2593 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2608
โดยเราพบว่า ในกระบวนการผลิตเสื้อผ้านั้น จะได้ชิ้นงานหรือสินค้าประมาณ 80% ที่เหลืออีก 20% จะเป็นผ้าส่วนเกินที่เหลือจากการผลิต ทำให้เรากลับมาคิดว่าจะทำอย่างไรกับผ้าส่วนเกินเหล่านี้ ที่จะไม่ให้เหลือเป็นขยะอุตสาหกรรม หรือ Fabric zero Waste alliance เราจึงมองหาคู่คิด ที่จะมาช่วยทำการ upcycle หรือนำผ้าส่วนเกินมาพัฒนาให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ และ recycle คือการนำผ้าส่วนเกินเหล่านั้นกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีกจึงได้ร่วมมือกับแบรนด์ “ลฤก” เป็นที่มาของผลิตภัณฑ์ “ระลึกรักษ์” และ เดอะ แพคเกจจิ้ง ที่ช่วยต่อยอดผ้าส่วนเกินให้กลายเป็น Mimi (มีมี่) กระเป๋ารักษ์โลก
“ข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากการใช้พลังงานของประเทศในปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 247.7 ล้านตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 66.5 ล้านตัน ลดลงจากปีก่อน 6.7% และตามกรอบเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์เศรษฐกิจหมุนเวียน ปีพ.ศ. 2573 ของสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างน้อย 30 ล้านตันในอีก 7 ปีข้างหน้า”
นายภุชชงค์ วนิชจักร์วงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะแพคเกจจิ้ง จำกัด ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก กล่าวว่า เม็ดพลาสติกเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ดังนั้นการนำเศษพลาสติกที่เหลือจากกระบวนการผลิตและไม่มีสิ่งปนเปื้อน กลับมาใช้ซ้ำภายในโรงงาน (Recycle) ในรูปแบบของการนำกลับมาใช้ซ้ำทั้งหมดหรือผสมกับเม็ดพลาสติกใหม่ในอัตราส่วนต่างๆ ส่งผลให้ไม่มีขยะเหลือเป็นของเสียในอุตสาหกรรม (Reduce)
สำหรับความร่วมมือกับ บูติคนิวซิตี้ โดยการนำผ้าโพลีเอสเตอร์จากการผลิตเสื้อผ้า ซึ่งเป็นผ้าส่วนเกินมาทำการรีไซเคิล โดยใช้ผสมทดแทนวัตถุดิบในการผลิตบางส่วน และพบว่าสามารถทดแทนได้ส่วนหนึ่ง โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้ออกมา ยังอยู่ในคุณภาพมาตรฐานที่กำหนดไว้ จากนั้นนำมาผ่านกระบวนการทอเป็นแผ่นพลาสติกและนำมาตัดเย็บ จึงเป็นที่มาของกระเป๋าเอนกประสงค์ Mimi ซึ่งมีความแข็งแรงและทนทานสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้หลายครั้ง
ทั้งนี้การนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่หรือการรีไซเคิล นอกจากจะช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกแล้ว ยังเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และทำให้พลาสติกที่ผ่านการใช้งานแล้วไม่เป็นขยะอีกต่อไป จึงเป็นการช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม