“SENA” โชว์ความแข็งแกร่งทางธุรกิจ 6 เดือนโกยรายได้ 3,840 ล้านบาท เติบโต 92% จัดทัพโครงสร้างทางการเงิน พร้อมขยายพอร์ตในธุรกิจใหม่ ภายใต้แนวคิด “THE ESSENTIAL LIFELONG TRUSTED PARTNER” ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยทุกช่วงวัย ด้วยบริการแบบครบวงจร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและมีความสุขอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านธุรกิจบริการ การเงิน สุขภาพ และพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โชว์ Backlog ยังเต็มกระเป๋า มูลค่า 6,879  ล้านบาท รอรับรู้รายได้ต่อเนื่องอีก 4 โครงการใหม่ ได้แก่เฟล็กซี่ เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ เสนาคิทท์ เวสต์เกต-บางบัวทอง เฟส 2 เสนาคิทท์ บีทีเอส สะพานใหม่  และเสนาคิทท์ รัตนาธิเบศร์ - บางบัวทอง

นางสาวอธิกา บุญรอดชู ผู้อำนวยการฝ่ายจัดสรรเงินทุนและการลงทุน บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทเสนา และบริษัทย่อย ในช่วงครึ่งปีแรก  2566  มีรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 3,840  ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 92% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 2,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการรับรู้รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ของโครงการที่ไม่ได้ร่วมทุน  1,111 ล้านบาท และรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ของโครงการร่วมทุน 2,729 ล้านบาท ในส่วนของยอดขาย (Presale) 6 เดือน อยู่ที่ 5,383 ล้านบาท โดยประกอบด้วยยอดขายอสังหาริมทรัพย์จากโครงการที่ไม่ได้ร่วมทุน  1,352 ล้านบาท และยอดขายอสังหาริมทรัพย์จากโครงการร่วมทุน 3,521 ล้านบาท

บริษัทมีรายได้รวม  4,427 ล้านบาท (อ้างอิงหมายเหตุประกอบงบการเงิน) ประกอบด้วยรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3,840 ล้านบาท ธุรกิจเช่าและบริการ 307 ล้านบาท และ รายได้จากธุรกิจโซลาร์ 280 ล้านบาท ซึ่งมีความสามารถในการทำกำไรขั้นต้น ร้อยละ 35 และมีความสามารถในการทำกำไรสุทธิร้อยละ 9.5 ซึ่งคิดเป็นกำไรสุทธิงวด 6 เดือน เท่ากับ 239 ล้านบาท ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปัจจัยหลักมาจากในงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรพิเศษจากการต่อรองราคาซื้อบริษัท SENX  และมีการปรับสัญญาว่าจ้างบริหารโครงการและรับรู้รายการขายทรัพย์สินของบริษัทย่อย

คณะกรรมการบริษัทฯ ได้เล็งเห็นถึงแนวทางการบริหารความเสี่ยงให้สอดรับกับสถานการณ์ การเงินและภาวะดอกเบี้ยของโลกที่อยู่ในช่วงขาขึ้น  รวมถึงการเคลื่อนไหวของตลาดเงิน ตลาดทุนในปัจจุบัน เพื่อให้บริษัทฯ มีความเข้มแข็งของกระแสเงินสดเพื่อรองรับความเสี่ยงจากปัจจัยดังกล่าว  จึงมีมติงดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในปี 2566 และจะดำเนินการพิจารณาเรื่องการจ่ายปันผลอีกครั้งในรอบสิ้นปี 2566

อย่างไรก้อตาม บริษัทฯ ยังมีสถานะความเข้มแข็งของยอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2566  ยังคงเติบโต ทั้งของบริษัทฯ และบริษัทย่อยคิดเป็นมูลค่า 6,879  ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ไม่ได้ร่วมทุน ประมาณ 868 ล้านบาท และโครงการร่วมทุน 6,010 ล้านบาท พร้อมทั้งเตรียมโอนกรรมสิทธิ์ในครึ่งปีหลัง จำนวน 4 โครงการ ประกอบด้วย 1. เฟล็กซี่ เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ 2. เสนาคิทท์ เวสต์เกต-บางบัวทอง 2  3. เสนาคิทท์ บีทีเอส สะพานใหม่ 4. เสนาคิทท์ รัตนาธิเบศร์ – บางบัวทอง ส่งผลให้บริษัทมีสินค้าคงเหลือสะสมรวมทั้งสิ้น 27,224  ล้านบาท ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างมูลค่าและรายได้ในอนาคต อีกทั้งแผนขยายธุรกิจใหม่ที่พัฒนาให้ครอบคลุมการดูแลผู้บริโภค  ทั้งในด้านธุรกิจบริการบริหารนิติบุคคล ธุรกิจบริการสินเชื่อ ธุรกิจด้านการขายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย เพื่อรองรับตลาด E-COMMERCE  ในอนาคต ธุรกิจบริการสุขภาพ ธุรกิจคลังสินค้า และโลจิสติกส์  รวมถึงธุรกิจด้านพลังงานสะอาดและธุรกิจปลูกป่า ถือว่าเป็นแนวทางและกลยุทธ์เชิงรุกของกลุ่มเสนา ที่จะเป็นมากกว่าผู้พัฒนาอสังหาฯ ภายใต้ แนวคิด “THE ESSENTIAL LIFTLONG TRUSTED PARTNER”

ในครึ่งปีหลัง 2566 บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจภายใต้แนวคิด Made Form Her “คิดละเอียดกว่า ก็อยู่สบายกว่า” โดยมุ่งเน้นการดูแลคุณภาพชีวิตของลูกค้าในทุกช่วงอายุ และมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจให้เติบโต ด้วย 2 กลยุทธ์หลัก  1. Convenient Living ใส่ใจเรื่องความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต เพิ่มฟังก์ชั่นการใช้สอยภายในบ้านและคอนโดมิเนียม 2. Sustainable Living ใส่ใจเรื่องการใช้ชีวิตให้ยั่งยืนพร้อมทั้งดูแลสิ่งแวดล้อม โดยนำแนวคิด SMART CITY มาใช้พัฒนา Feature ต่างๆ ในโครงการ เพื่อให้ลูกบ้านใช้ชีวิตแบบลดคาร์บอนได้ง่ายๆ ได้ทุกวัน

โดยพัฒนาออกมาเป็นโครงการแนวราบ ภายใต้แนวคิด “บ้านพลังงานเป็น 0” หรือ Zero Energy House (ZEH) ที่ต่อยอดมาจาก Hankyu Hanshin Properties Crop. (HHP) บริษัทฯ วิจัยพัฒนาสินค้าร่วมกับ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chula Unisearch) เพื่อออกแบบเป็นที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตของคนไทย จากงานวิจัยพบว่าแนวคิดบ้านพลังงานเป็น 0 สามารถลดการใช้พลังงานได้สูงสุดถึง 38% นอกจากนี้ในส่วนของแนวสูง ก็มีการนำใช้แนวคิดของ SMART CITY มาใช้พัฒนาเพื่อให้เกิดเป็น “คอนโด Low-Carbon” เพื่อสร้างไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่สะดวกสบายและมีความสุขอย่างยั่งยืน โดยเริ่มพัฒนาสินค้าและเปิดขายตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปีนี้เป็นต้นไป