รัฐฯเร่งลดค่าไฟ – น้ำมัน หนุนธุรกิจท่องเที่ยวฟื้น ฟันเฟืองดัน GDP โตแตะ 3%
ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกว่ายังคงมีความผันผวนทั้งความตึงเครียดของวิกฤตความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ การขยายระยะเวลาลดกำลังการผลิตน้ำมันจนถึงสิ้นปีของซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จากนโยบายการเงินที่เข้มงวดของ Fed และธนาคารกลางอีกหลายแห่งในโลก ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุน สภาพเศรษฐกิจ และต้นทุนพลังงานทั่วโลกได้รับผลกระทบ สำหรับไทยก็ได้รับผลกระทบ ที่ผ่านมาค่าไฟฟ้าซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญ ซึ่งมีการปรับตัวสูงขึ้นตามความผันผวนของต้นทุนการผลิตไฟฟ้า จากราคา LNG ปรับตัวสูงขึ้นตามตลาดโลก โดยภาครัฐฯ ก็พยายามช่วยเหลือให้ค่าไฟฟ้ามีความเหมาะสม ไม่ให้กระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบการในการแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจนเกินไป
ทั้งนี้ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยเฉพาะนวัตกรรมและเทคโนโลยีพลังงานที่มีส่วนเข้ามาผลักดันให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ หรือการผลิตด้วยพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงด้านภาวะโลกร้อนที่เข้าสู่ยุคภาวะโลกเดือดที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ
ประเทศไทย ในฐานะที่เป็นประเทศนำเข้าพลังงาน จำเป็นต้องวางแผนและปรับตัวอย่างมาก โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 66 ที่ผ่านมา แนวโน้มการใช้พลังงานขั้นต้นสูงขึ้น 2.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนในครึ่งปีหลังจากสภาพเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวหลังจากประเทศมีรัฐบาลที่มั่นคง ขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจและนโยบายพลังงานจากหลากหลายด้าน คาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวในช่วงสิ้นปี 2.5% ถึง 3% จากปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ คือ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การขยายตัวของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน รวมทั้งการขยายตัวต่อเนื่องของการลงทุนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ ส่งผลให้แนวโน้มการใช้พลังงานที่สูงขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้นภาครัฐจึงเร่งออกมาตรการช่วยเหลือและส่งเสริมทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยในระยะสั้น จะมีการปรับลดค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันและค่าก๊าซให้เหมาะสม ควบคู่ไปกับส่งเสริมระยะยาวด้วยแผนพลังงานชาติ NEP สอดคล้องกับแนวทางการมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) และบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2608 (ค.ศ. 2065) โดยมีแนวทางสำคัญที่จะเป็นทิศทางด้านพลังงานของประเทศในด้านต่างๆ ดังนี้
ด้านไฟฟ้า เน้นเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนและพลังงานสะอาดจากโรงไฟฟ้าใหม่ โดยสัดส่วนพลังงานทดแทน ไม่น้อยกว่า 50% ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า พัฒนาและยกระดับเทคโนโลยีระบบไฟฟ้า (Grid Modernization) เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์ระบบไมโครกริด ตลอดจนการผลิตเอง ใช้เอง (Prosumer) ที่มากขึ้น รวมถึงมุ่งปลดล็อคกฎระเบียบการซื้อขายไฟฟ้า เพื่อรองรับการผลิตเองใช้เองดังกล่าว
ด้านก๊าซธรรมชาติ เป็นเชื้อเพลิงสะอาดที่เป็นพลังงานสำคัญในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งจะเน้นการเปิดเสรีและการจัดหาเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับระบบพลังงานประเทศ ซึ่งกระทรวงพลังงานจะต้องวางแผนการสร้างสมดุลระหว่างการจัดหาในประเทศ และการนำเข้า LNG เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการซื้อขายหรือ LNG Hub
ด้านน้ำมัน ยังคงเป็นเชื้อเพลิงหลักของประเทศในปัจจุบัน แต่จะได้รับผลกระทบจากการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่ขยายตัวขึ้น ดังนั้น จะต้องมีการปรับแผนพลังงานภาคขนส่ง และพิจารณาการบริหารการเปลี่ยนผ่านการสร้างความสมดุลระหว่างผู้ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ (Bio Fuel) และยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
ด้านพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน จะมีการส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานทดแทนในทุกภาคส่วนให้มากขึ้น ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานจากทุกภาคส่วนให้เข้มข้นมากขึ้น
ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรม ถือเป็นภาคส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในแง่มูลค่าเพิ่มและการจ้างงาน โดยภาครัฐให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถปรับตัวและพัฒนาขีดความสามารถ ภายใต้สภาวะวิกฤตพลังงาน และกระแสโลกที่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
สำหรับความท้าทายของอุตสาหกรรมไทยกับความผันผวนด้านเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีพลังงานในกระแสภาวะโลกร้อน จะมีส่วนกระตุ้นให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมและผู้เกี่ยวข้องด้านพลังงาน เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการร่วมกันพัฒนาภาคอุตสาหกรรม และนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเร่งยกระดับประสิทธิภาพการผลิต ควบคู่ไปกับพัฒนาองค์กรด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อรับมือกับกระแสโลกร้อน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน อันนำไปสู่ความเป็นเลิศในระดับภูมิภาคและระดับโลกต่อไป