• มาตรการหักลดหย่อนภาษีสำหรับค่าที่พักและการจัดงานสัมมนาใน 55 เมืองรองของภาครัฐ ตั้งแต่ 1 พ.ค.-30 พ.ย. 2567 เป็นแรงหนุนตลาดไทยเที่ยวไทย
  • แต่ผลกระตุ้นอาจเผชิญความท้าทายจากช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวและสภาพภูมิอากาศที่ไม่แน่นอน ความพร้อมของระบบโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็ก และพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ตลาดไทยเที่ยวไทยปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 193.5 ล้านคน-ครั้ง เติบโต 4.4% จากปีก่อน และรายได้อยู่ที่ 8.7 แสนล้านบาท ขยายตัว 7.8% จากปีก่อน

เมื่อ 4 มิ.ย. 67 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในเมืองรอง 55 จังหวัด[1] โดยให้มีผลตั้งแต่ 1 พฤษภาคม ถึง 30 พฤศจิกายน 2567 ได้แก่

  1. มาตรการหักลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดา สำหรับค่าใช้จ่ายด้านบริการที่พัก (โรงแรม โฮมสเตย์และที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม) และค่าบริการนำเที่ยว จากการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดเมืองท่องเที่ยวรอง ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท โดยต้องมีใบกำกับภาษีแบบเต็มผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt)
  2. มาตรการหักลดหย่อนภาษีนิติบุคคล สำหรับรายจ่ายการอบรมจัดสัมมนาในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวรองสามารถนำมาหักได้ 2 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง ขณะที่เมืองหลักนำรายจ่ายมาหักได้ 1.5 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง
  • มาตรการฯ ดังกล่าว จะเป็นแรงหนุนการเดินทางท่องเที่ยวเมืองรองของคนไทยมากขึ้น โดยปัจจุบันคนไทยเที่ยวเมืองรองมีสัดส่วน 41% ในช่วง 4 เดือนแรกปี 2567 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2562 (รูปที่ 1) และในหลายจังหวัด เช่น เชียงราย สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม นครพนม อุบลราชธานี เป็นต้น จำนวนนักท่องเที่ยวไทยกลับมาสูงกว่าปี 2562 แล้ว ขณะที่ รายได้ไทยเที่ยวไทยในเมืองรองก็มีสัดส่วนเร่งตัวขึ้นเช่นกัน (รูปที่ 2)  

 

  • อย่างไรก็ตาม ผลบวกจากมาตรการฯ อาจไม่ได้หนุนการเดินทางและรายได้ตลาดไทยเที่ยวไทยให้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนัก เนื่องจาก 1. มาตรการฯ ครอบคลุมกรอบเวลาช่วงฤดูฝนเป็นส่วนใหญ่ และสภาพอากาศมีความไม่แน่นอนสูง โดยสถานที่ท่องเที่ยวอย่างอุทยานแห่งชาติบางแห่งปิดให้บริการในช่วงนี้ 2. ผู้ประกอบการในกลุ่มที่พักและบริษัทนำเที่ยวโดยเฉพาะขนาดเล็กอาจมีความไม่พร้อมของระบบในการรองรับ e-Tax Invoice & e-Receipt 3. การตัดสินใจเดินทางของคนไทยในช่วงมาตรการฯ อาจคึกคักน้อยกว่าหากเทียบกับช่วงตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันที่มีวันหยุดยาวและเทศกาลสำคัญอย่างตรุษจีน สงกรานต์ เป็นต้น ขณะที่กำลังซื้อครัวเรือนส่วนใหญ่ยังมีความเปราะบาง และ 4. การเลือกที่พักของคนไทยและการจัดงานสัมมนาส่วนใหญ่ยังเน้นไปที่เมืองท่องเที่ยวหลัก โดยมักแวะเที่ยวเมืองรองในรูปแบบของการทัศนาจร    

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า คนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศทั้งปี 2567 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 193.5 ล้านคน-ครั้ง หรือเติบโต 4.4% จากปีก่อน (รูปที่ 3) เทียบกับที่ขยายตัว 9.6% (YoY) ในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ อย่างไรก็ตาม การแข่งขันการท่องเที่ยวในประเทศยังสูง จากการที่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในหลายจังหวัดให้ความสำคัญกับการพัฒนาการท่องเที่ยวและการจัดกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยว การสร้าง Landmark เพื่อเป็นทางเลือกที่หลากหลายให้กับนักท่องเที่ยว ดังนั้น การเติบโตของการท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่จะยังมีความไม่เท่ากัน

สำหรับรายได้ท่องเที่ยวจากคนไทยเที่ยวในประเทศปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ 8.7 แสนล้านบาท ขยายตัว 7.8% จากปีก่อน (รูปที่ 2) เทียบกับที่ขยายตัว 12.9% (YoY)  ในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ ทั้งนี้ แม้รายได้ตลาดไทยเที่ยวไทยจะฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิดในปี 2562 เนื่องจากนักท่องเที่ยวมีการปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายระหว่างการเดินทาง จำนวนวันพักเฉลี่ยลดลงมาที่ 2.1 วัน (จาก 2.46 วันในปี 2562) และการพักค้างมีสัดส่วนน้อยลงมาที่ 51% (จากค่าเฉลี่ยราว 57% ในปี 2562


[1] เมืองรอง 55 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช อุดรธานี เชียงราย ลพบุรี พิษณุโลก สุพรรณบุรี อุบลราชธานี นครนายก หนองคาย สระแก้ว เลย ตาก ตราด เพชรบูรณ์ จันทบุรี มุกดาหาร นครสวรรค์ ราชบุรี สมุทรสงคราม บุรีรัมย์ ชัยภูมิ พัทลุง ตรัง ศรีสะเกษ ปราจีนบุรี สตูล ชุมพร สุโขทัย สุรินทร์ สกลนคร ลำพูน นครพนม อุตรดิตถ์ ระนอง ลำปาง ร้อยเอ็ด แม่ฮ่องสอน พิจิตร แพร่ ชัยนาท น่าน อ่างทอง มหาสารคาม กำแพงเพชร อุทัยธานี นราธิวาส ยะลา พะเยา บึงกาฬ กาฬสินธุ์ ยโสธร สิงห์บุรี หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ ปัตตานี