สำรวจตัวเองก่อนเข้า "ตลาดหุ้น"
“ตลาดหุ้น” เป็นแหล่งลงทุนรูปแบบหนึ่งซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของนักลงทุนผู้แสวงหาผลประโยชน์ เนื่องจากเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนในระยะยาวค่อนข้างสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนประเภทอื่นๆ เช่น การฝากธนาคาร พันธบัตร หุ้นกู้ ตราสารหนี้ชนิดต่างๆ จึงทำให้ตลาดหุ้นเป็นเหมือนศูนย์รวมของฝูงชนที่เข้าตลาดด้วยความต้องการอยาก “รวยเร็ว รวยลัด” บางคนถึงขั้นคิดอยากจะออกจากงานประจำมานั่งเล่นหุ้นกันเลยทีเดียว (Full Time Trader) แต่ใช่ว่าเส้นทางการลงทุนในตลาดหุ้นจะโรยด้วยกลีบกุหลาบสวยงามอย่างที่หลายคนเคยบอก เพราะตลาดหุ้นเป็นศูนย์รวมของจิตวิทยาหมู่ (Psychology) ที่ลึกซึ้งและต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ
สิ่งที่ TerraBKK กำลังจะบอกก็คือ การลงทุนมีได้ก็ต้องมีเสีย เพราะฉะนั้นก่อนเริ่มการลงทุนควรศึกษาหาความรู้ให้มากที่สุดเพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดหุ้นกันดีกว่า ในบทความนี้ TerraBKK จะให้ “ความรู้ และ Concept” สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นว่ามีรูปแบบการลงทุนอะไรบ้าง
สิ่งแรกที่เราต้องรู้ก่อนก่อนลงทุนในตลาดหุ้น คือ เราต้องรู้ว่าเราเป็นคนแบบไหนและต้องการอะไร
- ใจร้อนหรือใจเย็น แล้วมากำหนดว่าเราต้องการลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาว
- จุดประสงค์ที่เราเข้ามาในตลาดเพื่อเก็งกำไรเป็นระยะสั้นๆหรือว่าลงทุนยาวหน่อย
- ผลตอบแทนต่อปีเราอยากได้ประมาณเท่าไร
- ชอบความเสี่ยง หรือรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเงินในพอร์ตที่อาจจะลดลงได้มากน้อยขนาดไหน
เมื่อเราทราบความต้องการของตัวเราแล้วค่อยมากำหนดกลยุทธ์การลงทุนและเลือกเครื่องมือในการสร้างผลตอบแทนให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ที่เราวางเอาไว้ ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
- Value Investor (VI) การลงทุนเน้นคุณค่าเป็นรูปแบบการลงทุนที่มองที่พื้นฐาน (Fundamental) ของกิจการเป็นหลักโดยมีแนวคิดว่า “ซื้อหุ้นให้เหมือนกับเราเข้าซื้อกิจการ” นักลงทุนจึงต้องติดตามผลการดำเนินงานของกิจการว่ารักษาเสถียรภาพของบริษัทได้อย่างมั่นคงหรือไม่โดยต้องวิเคราะห์งบการเงินอย่างละเอียดทั้งรายได้ กำไรสุทธิ อัตราส่วนทางการเงิน ROA ROE D/E เป็นต้น ดูแนวโน้มการเติบโตของบริษัทและแนวโน้มอุตสาหกรรมว่าเป็นขาขึ้นหรือขาลง โดยต้องมองให้เห็นคุณภาพของกิจการและโอกาสทางธุรกิจในอนาคต รวมถึงคุณธรรมของผู้บริหารว่าสามารถทำได้จริงตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญาเอาไว้หรือไม่
- Technical Analysis เป็นรูปแบบการลงทุนที่ใช้เครื่องมือทางคณิตศาสตร์ประกอบการตัดสินใจ ซึ่งผู้ที่ใช้ Technical Analysis มีความเชื่อว่า “The Market Discounts Everything” ซึ่งการลงทุนแบบ Technical นั้นได้แตกย่อยออกเป็นศาสตร์หลายแขนง วิธีที่เห็นหลักๆที่ใช้กันมาก เช่น Trend Following, Breakout เป็นต้น แต่ 3 สิ่งที่ต้องมีสำหรับการลงทุนในรูปแบบ Technical คือ
- Trading System (มีความสำคัญ 10%) เป็นระบบที่ถูก Set up ขึ้นมาใช้สำหรับการลงทุนซื้อขายในรูปแบบของเราตามวัตถุประสงค์การลงทุนกล่าวไว้ข้างต้น
- Money Management (มีความสำคัญ 30%) การบริหารหน้าตักการลงทุนให้สามารถยืนระยะในตลาดได้นานที่สุด ส่วนใหญ่แล้วจะใช้กฎ 2% คือ ขาดทุนได้ไม่เกิน 2% ของพอร์ตการลงทุน ถ้ามากกว่านั้นต้อง Stop Loss ไม่ใช่ว่ายึดหลัก “ไม่ขายไม่ขาดทุน” ขาดทุนแล้วไม่ขาย สุดท้ายจาก -2% จะกลายเป็น -5%, -10%, -20% ในที่สุด
- Psychology (มีความสำคัญถึง 60%) จิตวิทยาการลงทุน “ความโลภ (Greed) และ ความกลัว (Fear)” มีความสำคัญมากถึงมากที่สุด ถึงแม้เตรียม Trading System และ Money Management ดีขนาดไหน แต่ถ้าจิตที่เกิดจากจิตใต้สำนึกของเราแกว่งไปมาตามอารมณ์สุดท้ายทำให้แผนที่เตรียมมาเสียหายทั้งหมด เช่น เมื่อเรากลัวเราจะกำหนดขนาดเงินลงทุนของเราน้อยเกินไป (Under Trade) เมื่อเราโลภเราจะกำหนดขนาดของเงินลงทุนมากเกินไป (Over Trade) เมื่อเรา Overtrade ขาดทุนครั้งหนึ่งเราจะกู้พอร์ตกลับได้ยาก ดังนั้น Psychology จึงเข้ามากำหนดการใช้ Trading System และ Money Management อีกครั้งหนึ่ง
- Techno Fundamental เป็นการนำ 2 ศาสตร์ข้างต้น ได้แก่ การลงทุนโดยดูปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental) กับ ใช้เครื่องมือทางเทคนิค (Technical) ช่วยสนับสนุนกันและกัน โดยใช้ Fundamental ในคัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพแบบ Growth Stock และจับจังหวะเวลาซื้อ-ขายกับหุ้นที่กำลังมีแนวโน้มในแบบของ Technical ทำให้ประสิทธิภาพการลงทุนดีขึ้น
ความเสี่ยงและผลตอบแทนจากการลงทุน ใครหลายๆคนที่คิดจะลงทุนต่างก็มองที่ “ผลตอบแทน” จากการลงทุนเป็นอันดับแรกๆ ว่าเราจะทำอย่างไรให้เงินที่ตนเองลงทุนไปแล้วให้ได้ผลตอบแทนกลับมาให้สูงที่สุดในระยะเวลาอันสั้น จนลืมนึกถึงความเสี่ยงที่จะต้องแบกรับจากการลงทุนนั้นๆ ความเป็นจริงแล้วการลงทุนที่ถูกต้องเราควรจะต้องมองให้เห็นถึง “ความเสี่ยง” จากการลงทุนก่อน ก่อนที่เราจะเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ชิ้นนั้น
เปรียบเทียบความเสี่ยงและผลตอบแทนในทุก Asset Class หลายคนคงทราบถึงความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภทกันไปแล้ว ในครั้งนี้ TerraBKK Research จะนำ “ผลตอบแทน” และ “ความเสี่ยง” ของสินทรัพย์แต่ละประเภท มาเปรียบเทียบเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่แตกต่างกัน และผลตอบแทนจะแตกต่างกันอย่างไร โดยความเสี่ยงในที่นี้อาจจะหมายถึงความผันผวน (Volatility) ของผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์
บทความโดย : TerraBKK คลังความรู้
TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก