ลงเรือด่วนเจ้าพระยา ไหว้พระ 9 วัด ในกรุงเทพฯ
ช่วงวันหยุดยาวสัปดาห์นี้ ถ้าใครยังไม่ได้มีแผนจะไปเที่ยวทำบุญต่างจังหวัดไกลๆ เราชวนให้มาทำบุญไหว้พระ 9 วัดในกรุงเทพฯ ในบรรยากาศใหม่ๆ ด้วยการลงเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยาแวะไหว้พระตามวัดต่างๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อ เป็นสิริมงคลให้ตัวเองค่ะ
เริ่มจากการมาลงเรือที่ท่าน้ำสาธรค่ะ วิธีการเดินทางมาง่ายๆ ด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอสมาลงที่สถานีตากสินนั่นเอง ที่ท่าน้ำสาธร หรือตามวัดต่างๆ จะมีบริการเรือด่วนพาเราไปไหว้พระ 9 วัดอยู่แล้วค่ะ
วัดที่ 1 “วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร”
สำหรับการไปไหว้พระที่วัดนี้จะมีคติอยู่ว่า “เดินทางปลอดภัยมีมิตรไมตรีที่ดี” นั่นเองค่ะ
วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหารนั้น สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ค่ะ วัดตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี บริเวณปากคลองบางกอก เมื่อเข้ามาในวัดแล้ว ควรจุดธูปเทียนบูชาพระก่อน ตามลำดับที่ทางวัดตั้งไว้ แล้วจึงเดินเข้าไปภายในพระวิหารหลวง เพื่อกราบนมัสการ "หลวงพ่อโต" หรือ "พระพุทธไตรรัตนนายก" หรือเรียกตามแบบจีนว่า "หลวงพ่อซำปอกง" เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยองค์ใหญ่ซึ่งมีแค่ที่นี่ ที่วัดพนัญเชิง จ.พระนครศรีอยุธยา และวัดอุภัยภาติการาม จ.ฉะเชิงเทรา 3 วัดเท่านั้นในประเทศไทยค่ะ
วัดที่ 2 “วัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร” (วัดแจ้ง)
เป็นที่รู้กันอยู่ค่ะว่า มาไหว้พระ 9 วัดครั้งไหนๆ ก็ต้องมาที่วัดแจ้งด้วยทุกครั้งไป ด้วยคติที่ว่า “ชีวิตรุ่งโรจน์ทุกคืนวัน” นั่นเองค่ะ
วัดอรุณ เป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยา ว่ากันว่าเดิมเรียกว่า วัดมะกอกนอก สร้างในสมัยอยุธยา สมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าให้อัญเชิญ
พระบรมราชสรีรางคารของรัชกาลที่ 2
มาบรรจุที่พุทธอาสน์ของพระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก พระประธานในอุโบสถ และพระราชทานนามวัดใหม่ว่า "วัดอรุณราชวราราม" จึงได้ถือว่าเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 2 ค่ะวัดที่ 3 “วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร” หรือวัดระฆัง
ค่ะ สำหรับวัดระฆังนั้นคนนิยมมากราบไหว้บูชา ปล่อยนกปล่อยปลาที่นี่ค่ะ ด้วยคติ และคำเชื่อที่ว่า มาทำบุญที่วัดระฆัง จะทำให้ “มีชื่อเสียงโด่งดัง คนนิยมชมชอบ” นั่นเอง
เมื่อเอ่ยถึงวัดระฆัง สิ่งที่หลายๆ คนต้องนึกถึง คือ
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
เนื่องจากท่านเป็นที่เคารพนับถือของเหล่าพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างมาก และพระคาถาชินบัญชรที่เชื่อว่าหากสวดกันเป็นประจำจะทำให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองค่ะวัดที่ 4 “วัดอมรินทรารามวรวิหาร”
เชื่อกันว่าการมาไหว้พระที่วัดนี้ก็คือ“พระอินทร์ประทานพรให้ปลอดภัยจากอันตรายใดๆ ทั้งปวง”
วัดอมรินทรารามวรวิหารสร้างขึ้นประมาณปีพ.ศ.2200 ไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้สร้าง เดิมทีมีชื่อวัดว่า “วัดบางว้าน้อย” ตั้งคู่กับ “วัดบางว้าใหญ่” หรือวัดระฆังค่ะ
จุดที่น่าสนใจภายในวัด อยู่ที่วิหารหลวงพ่อโบสถ์น้อย ซึ่งมีพระประธานคือ “หลวงพ่อโบสถ์น้อย” เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นศิลปะแบบสุโขทัย ปางมารวิชัยลงรักปิดทอง เป็นสถานที่ที่ผู้คนนิยมมากราบสักการะขอพรจากหลวงพ่อกันเป็นจำนวนมากค่ะ
เพราะด้วยความศักดิ์สิทธ์ของหลวงพ่อตั้งแต่ในครั้งสงครามมหาเอเชียบูรพา ตอนที่ระเบิดลง ภายในวัดนี้เสียหายพังพินาศหมด เนื่องจากวัดอยู่ติดกับสถานีรถไฟพอดี คงเหลือไว้แต่เพียงวิหารหลวงพ่อโบสถ์น้อย และมณฑปพระพุทธบาทจำลอง ที่รอดพ้นภัยมาได้ แต่ด้วยแรงระเบิดจึงทำให้เศียรของหลวงพ่อร้าว แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรหลวงพ่อโบสถ์น้อยได้นั่นเองค่ะ หลังจากมาไหว้พระกันถึง 4 วัดแล้ว เราก็สามารถมาแวะทานมื้อกลางวันกันก่อนที่จะไปวัดต่อไปได้ที่ “ตลาดน้ำตลิ่งชัน” ค่ะ ที่ตลาดน้ำนี้คงความเป็นอยู่ของวิถีชีวิตของชาวคลองไว้ให้เราได้เห็นๆ กันอยู่ค่ะ ซึ่งแน่นอนว่าหาดูยากมากในสมัยที่เมืองพัฒนาไปมากขนาดนี้
ภาพที่เห็นได้ในตลาดน้ำตลิ่งชันก็คือ พ่อค้าแม่ค้าที่พายเรือขายอาหาร ผักผลไม้ต่างๆ ทั้งบนโป๊ะ และในคลอง เช่น ก๋วยเตี๊ยว ขนมไทย ผลไม้ต่างๆ ฯลฯ ค่ะ อาหารขึ้นชื่อของที่นี่คงหนีไม่พ้นปลาเผา กุ้งเผา หอยแมลงภู่นึ่ง ค่ะ และของฝากที่นิยมมากนั่นก็คือ หมี่กรอบ นั่นเอง แวะทานอาหารกันเรียบร้อยก็มาลงเรือต่อเพื่อไปวัดต่อไปกันเลยค่ะ
วัดที่ 5 “วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร”
ตั้งอยู่ริมคลองบางกอกน้อยฝั่งตะวันตกค่ะ เป็นวัดสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดทอง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนาขึ้นใหม่ทั้งพระอาราม และพระราชทานนามว่า "วัดสุวรรณาราม"วัดสุวรรณารามนี้ เคยปรากฏในพระราชพงศาวดารสมัยกรุงธนบุรีว่า คราวพม่ายกกองทัพมาตีเมืองพิษณุโลก พระเจ้าตากสินมหาราชจะยกกองทัพไปช่วย จึงโปรดให้ถามเชลยศึกพม่าที่จับมาได้จากค่ายบางนางแก้วว่าจะสมัครใจไปช่วยรบพม่าด้วยหรือไม่ แต่เชลยศึกพม่าตอบปฎิเสธ พระเจ้าตากสินจึงจับเชลยศึกทั้งหมดประหารใกล้ๆ วัด จึงทำให้มีความเชื่อว่า ตอนกลางคืนจะมีม้ามาวิ่งอยู่รอบโบสถ์ค่ะ ใครที่มาบนขออะไรที่วัดมักจะประสบความสำเร็จค่ะ วิธีแก้บนก็คือให้มาวิ่งม้าก้านกล้วยรอบโบสถ์นั่นเอง
วัดที่ 6 “วัดคฤหบดี”
มีคติว่า “เสริมโชควาสนา บารมี ดุจดั่งทอนพคุณ เคียงคู่แก้วมรกต” วัดคฤหบดี เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้กับบ้านปูน เชิงสะพานพระราม 8 ค่ะ
มี “พระพุทธแซกคำ” เป็นพระประธานในพระอุโบสถของวัดคฤหบดี ซึ่งเป็นพระพุทธรูปเนื้อทองคำโบราณ ปางมารวิชัยสมัยเชียงแสน เป็นพระพุทธรูปคู่เมืองแห่งราชอาณาจักรล้านนา ต่อมาเจ้าพระยาบดินทรเดชาเป็นแม่ทัพไปปราบกบฏเวียงจันทน์ ได้จับกุมเจ้าอนุวงศ์ กษัตริย์เวียงจันทน์มากรุงเทพฯ พร้อมอัญเชิญพระพุทธแซกคำนำมาทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดคฤหบดีจากนั้นเป็นต้นมาค่ะ
วัดที่ 7 “วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร”
เป็นพระอารามหลวงฝ่ายธรรมยุต ซึ่งมีคติว่า “มีลาภยศที่ยิ่งใหญ่ ดุจพระราชา” ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งพระนคร ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ทรงปฏิสังขรณ์ใหม่แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดราชาธิวาสวิหาร” มีความหมายว่า “วัดอันเป็นที่ประทับของพระราชา” เป็นวัดแรกที่ถือกำเนิดคณะสงฆ์ ธรรมยุติกนิกายค่ะพระอุโบสถเป็นทรงขอมคล้ายนครวัด ออกแบบโดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ มีห้องสามตอนคือ ห้องหน้าเป็นระเบียง ห้องกลางเป็นห้องพิธี มีพระสัมพุทธพรรณีเป็นพระประธาน มีเศวตฉัตร 9 ชั้น (ร. 5 หล่อพระราชทาน) หลังพระประธานเป็นซุ้มคูหา
และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในแสดงเรื่องพระเวสสันดรชาดก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเป็นผู้ร่างภาพ และ ศ.ซี.ริโกลี (C.Rigoli) จิตรกรชาวอิตาเลียน เป็นผู้เขียนด้วยการใช้สีปูนเปียก (Fresco) ซึ่งมีความสวยงามต่างจากภาพจิตรกรรมฝาผนังในวัดอื่นๆ ค่ะ
มาถึง วัดที่ 8 “วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร” หรือ วัดสมอแครง เป็นวัดเก่าแก่โบราณ มีมาก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยาเลยทีเดียวค่ะ ในการมาไหว้พระที่วัดนี้มีคติว่า “มงคลเทพเทวดา มหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง”
มี “พระพุทธเทวราชปฏิมากร” เป็นพระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปโลหะหล่อลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย ฝีมือช่างสมัยทวารวดี ประดิษฐานบนฐานชุกชี ค่ะ พระประธานในพระอุโบสถของวัดเทวราชกุญชรนับว่าแปลกกว่าวัดอื่น เนื่องจากพุทธศาสนิกชนนิยมถวาย “ผ้าไตร” แทนดอกไม้ธูปเทียน ได้สร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่การกราบขอพรพระศักดิ์สิทธิ์องค์นี้เป็นเท่าทวีคูณ และนับเป็นวัดแรกในประเทศไทยที่นำผ้าไตรมาเป็นเครื่องสักการะที่ได้รับความศรัทธาสูงสุดมาจนทุกวันนี้
วัดที่ 9 “วัดยานนาวา”
เดิมชื่อ วัดคอกควาย เนื่องจากมีชาวทวายมาลงหลักปักฐานอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และชาวทวายจะนำกระบือที่เลี้ยงไว้มาทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันนั่นเองค่ะต่อมารัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์ และสร้างเรือสำเภาพระเจดีย์แทนพระสถูปเจดีย์ทั่วไป เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เห็นรูปแบบเรือสำเภาซึ่งกำลังจะหมดไปจากเมืองไทย จึงได้เปลี่ยนชื่อจากวัดคอกกระบือเป็น "วัดยานนาวา" นั่นเองค่ะ สำหรับวัดนี้ มีคติว่า “การค้าขาย การทูต เจริญรุ่งเรือง”
จบทริปในวันนี้ด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ อิ่มท้องอิ่มบุญ ค่ะ ใครที่อยากลองมาตามรอยไหว้พระ 9 วัดด้วยการล่องเรือมาตามแม่น้ำเจ้าพระยาแบบเราก็สามารถเอาตารางนี้ไปเตรียมตัวได้เลยค่ะ นอกจากจะได้ทำบุญแล้ว ยังได้เรียนรู้ประวัติของวัดสำคัญต่างๆ ซึ่งพ่วงกับประวัติศาสตร์ของเราอีกด้วยค่ะ
Source: www.เที่ยวภาคกลาง.com
ขอบคุณข้อมูลจาก : travel.truelife.com
Discussion
Follow breaking news Investment property articles on Facebook, click here.