TerraBKK Research อัพเดทผลประกอบการกลุ่มธุรกิจเกษตร (Agribusiness) ประจำครึ่งปีแรกรวม 6 เดือนย้อนหลัง 5 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 จนถึง 2554 บริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทที่มีการซื้อขายในตลาดรอง SET บริษัทไหนสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น และมีแนวโน้มที่จะกลายมาเป็นบริษัทผู้นำในของกลุ่มธุรกิจเกษตร TerraBKK Research ได้รวบรวมเอาไว้ดังต่อไปนี้

จากการสำรวจผลประกอบการบริษัทกลุ่มธุรกิจเกษตร พบว่า ผลประกอบการปีนี้เป็นปีที่อุตสาหกรรมเกษตรมีผลประกอบการตกต่ำติดต่อกันทั้ง รายได้ ความสามารถในการทำกำไร สำหรับบริษัทที่ TerraBKK Research ได้ทำการสำรวจแล้วพบว่ามีความน่าสนใจทั้งการเติบโตของรายได้และความสามารถในการทำกำไรมีด้วยกัน 2 บริษัท คือ PRG : PATUM RICE MILL AND GRANARY และ TWS : THAI WAH STARCH

รายได้ (Revenue) อุตสาหกรรมเกษตรเป็นอุตสาหกรรมที่โดยภาพรวมแล้วครึ่งปี 2558 มีรายได้ลดลงมีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้นที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า บริษัทที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ได้แก่ PRG (+19.43%) ทำธุรกิจขายขายมาบุญครอง, TWS (+11.18%) ทำผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และ TRS (+6.89%) ทำอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารทะเลแช่แข็ง ตามลำดับ และเมื่อเราดูบริษัทอื่นๆเราจะพบว่าหลายๆบริษัทมีแนวโน้มของรายได้ลดลงบริษัทติดต่อกัน แสดงถึงในช่วงทีผ่านมาอุตสาหกรรมเกษตรเป็นขาลงมานานพอสมควรแล้ว บริษัทเหล่านั้นเช่น STA, TRUBB, LEEเป็นต้น

อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) บริษัทที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงที่สุดของอุตสาหกรรม คือ CM เป็นธุรกิจที่ทำเกี่ยวกับอาหารแช่แข็งต่างๆ มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ประมาณ 20.94% ลดลงจากปีที่แล้ว บริษัทที่สองมีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 17.75% คือบริษัท TWS จำหน่ายมันสัมปะหลังแช่แข็ง อีกทั้งมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้นด้วย บริษัทหนึ่งที่ดูหน้าสนใจคือ PRG เป็นบริษัทที่มีแนวโน้มของอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี ปัจจุบันอยู่ที่ 16.7% อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) บริษัทที่มีอัตรากำไรสุทธิมากที่สุด คือ บริษัท PRG อยูที่ 12.71% แต่จะลงจากปีที่แล้ว อันดับที่สองคือ UVAN มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องปัจจุบันอยู่ที่ 10.52%

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset) แสดงถึงความสามารถในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ภายในองค์กรว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยขนาดไหนเพื่อที่จะนำมาสร้างรายได้ให้แก่กิจการ บริษัทที่มีอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์มากกว่า 10% ได้แก่ TWS (15.25%) เพิ่มสูงขึ้นจากปีแล้ว, UVAN (12.28%) ลดลงมากจากปีที่แล้ว และสุดท้ายคือ GFPT จากการสังเกต พบว่า หลายๆบริษัทมี ROA ลดลงต่อเนื่อหลายปี อัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้น (Return on Equity) จะบอกถึงกิจการสามารถสร้างผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นได้มากน้อยขนาดไหน บริษัทที่มีอัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้นเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจะกลายเป็นบริษัทที่มีความน่าสนใจและต้องมี Return to Equity มากกว่า 17% แต่สำหรับปี 2558 ไม่มีบริษัทใดเลยที่มีอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้นสูงเกินกว่า 17% บริษัทที่มี ROE สูงที่สุด คือ GFPT เป็นบริษัทที่ทำอุตสาหกรรมการเกษตรครบวงจร

อัตรากำไรต่อหุ้น (Earning per Share) บริษัทที่มี EPS เติบโตมากที่สุด (EPS Growth) เรียงจากมากไปน้อยได้แก่ ASIAN (+225%), STA (+45.45%), TWS (+41.73%), CM (+16.67%) และ PRG (+4%) ตามลำดับ การเติบโตของกำไรต่อหุ้นจะเป็นตัวบอกถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ว่าบริษัทสามารถสร้างกำไรส่วนเพิ่มให้แก่นักลงทุนต่อหนึ่งหน่วยลงทุนได้ดีมากน้อยขนาดไหนและเมื่อเราดูแนวโน้มอัตรากำไรต่อหุ้นประกอบทำให้เราสามารถเลือกบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตได้ดีมากขึ้น

อัตราหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) สัดส่วนของหนี้สินต่อทุนที่อยู่ในระดับปกติไม่ควรมีสัดส่วนของหนี้สินต่อส่วนของทุนมากกว่า 2 เท่า และถ้าจะให้ดีควรจะน้อยกว่า 1 เท่า ในอุตสาหกรรมนี้ไม่มีบริษัทใดเลยที่อัตราหนี้สินต่อทุนสูงกว่า 1 เท่า จากแผนภูมิจะเห็นว่าอัตราหนี้สินต่อทุนของบริษัทส่วนใหญ่แล้วน้อยกว่า 1 เท่าบริษัทที่มีอัตราหนี้สินต่อทุนสูงกว่ามากกว่า 1 เท่า ได้แก่ TRUBB ทำธุรกิจยางพาราครบวงจร มีอัตราหนี้สินต่อทุนลดลงจากปีที่แล้วและ ASIAN ทำธุรกิจแปรรูปสัตว์น้ำแช่แข็ง มีหนี้สินต่อทุนเพิ่มสูงขึ้นจากปีที่แล้ว

อัตรากำไรสุทธิ จะแสดงถึง ความสามารถในการทำกำไรสุทธิของบริษัท เป็นการวัดความสามารถของบริษัทในการควบคุมรายจ่ายทุกประการทั้งดอกเบี้ยและภาษีเมื่อเทียบกับยอดขาย หากอัตราส่วนนี้มีค่าสูงแสดงว่าบริษัทสามารถเปลี่ยนยอดขายให้เป็นกำไรสุทธิได้มาก

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) แสดงถึง สัดส่วนของเงินทุนจากการกู้ยืมต่อเงินทุนจากเจ้าของธุรกิจถ้าอัตราส่วนนี้สูงแสดงว่าบริษัทมีการกู้ยืมเงินในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินทุนจากผู้ถือหุ้นของบริษัท ทำให้มีความเสี่ยงในลักษณะเดียวกับอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์

อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset:ROA) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมของบริษัท เป็นการวัดความสามารถในการนำสินทรัพย์ทั้งหมดของธุรกิจใช่ในการสร้างยอดขายและควบคุมค่าใช่จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมดสุทธิจากภาษีแต่ก่อนต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิจากภาษีที่ประหยัดได้) อัตราส่วนที่สูงแสดงว่าบริษัทมีความสามารถสูงในการนำสินทรัพย์ไปสร้างกำไรจากการดำเนินงาน

อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรให้แก่เงินทุนของผู้ถือหุ้น หากค่าที่ได้จากการคำนวณสูงแสดงว่าผู้ถือหุ้นมีโอกาสได้รับเงินปันผลและผลตอบแทนที่สูง

บทความโดย : TerraBKK ข่าวอสังหาฯ แหล่งข้อมูล : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก