TerraBKK Research อัพเดทผลประกอบการกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (Construction Services) ประจำครึ่งปีแรกรวม 6 เดือน ย้อนหลัง 5 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 จนถึง 2554 บริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทที่มีการซื้อขายในตลาดรอง SET บริษัทไหนสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นและมีแนวโน้มที่จะกลายมาเป็นบริษัทผู้นำในของกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง TerraBKK Research ได้รวบรวมเอาไว้ดังต่อไปนี้

จากการสำรวจผลประกอบการบริษัทรับเหมาก่อสร้าง พบว่า ภาพรวมในครึ่งปีแรกของปี 2558 รายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ความสามารถในการทำกำไรอาจจะลดลงไปบ้าง สำหรับบริษัทที่เติบโตโดดเด่นทั้งรายได้และสร้างผลตอบแทนได้อย่างน่าพอใจ ได้แก่ STPI ดำเนินธุรกิจงานแปรรูปและติดตั้งโครงสร้างเหล็ก และก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่, UNIQ เป็นผู้รับเหมาหลักทั้งงานแบบเบ็ดเสร็จซึ่งให้บริการครบวงจรทั้งงานออกแบบและงานก่อสร้าง และงานรับก่อสร้างตามแบบที่ผู้ว่าจ้างกำหนด และสุดท้าย SYNTEC ดำเนินธุรกิจก่อสร้างงานทุกประเภททั้งงานโยธาและงานเครื่องกล

รายได้ (Revenue) ของกลุ่มรับเหมาก่อสร้างในภาพรวมมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากครึ่งปีแรกของปีก่อนหน้า โดยบริษัทที่มีรายได้เพิ่มสูงขึ้นโดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย 3 อันดับแรกได้แก่ SYNTEC (+39.97%), UNIQUE (+11.33%) และ STP&I (10.52%) โดยทั้ง 3 บริษัทข้างต้นเป็นบริษัทที่มีแนวโน้มของรายได้เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยบริษัท STPI ในช่วงที่ผ่านมารายได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก บริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตของรายได้เพิ่มต่อเนื่อง ได้แก่ บริษัท ITD และ NWR สำหรับบริษัทที่รายได้ลดลงหลังจากรายได้เติบโตต่อเนื่อง คือ TTCL, STEC, CNT และ PLE

อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) บริษัทที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงที่สุดยังคงเป็น STPI ครองแชมป์ 5 ปีติดต่อกัน ปัจจุบันมี Gross Profit Margin ลดลงเหลือเพียง 21.8% แต่ก็ยังสูงเมื่อเทียบกับในกลุ่ม บริษัทที่มี Gross Profit Margin สูงเป็นอันดับ 2 คือ UNIQ (19.53%) เมื่อเราดูแนวโน้ม พบว่าบริษัทที่มีแนวโน้มของกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นต่อเหนื่อง 3 ปีติดต่อกัน คือ UNIQ, SYNTEC, STEC อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ของบริษัทรับเหมาก็สร้าง STPI เป็นบริษัทที่มีอัตรากำไรสุทธิสูงที่สุดเช่นกัน มีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 16.27% แต่อัตรากำไรสุทธิลดลงเป็นปีที่ 3 แล้ว รองลงมาเป็น CK อยู่ที่ 10.62% และอันดับที่ 3 คือ UNIQ อยู่ที่ 7.24%

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset) แสดงถึงความสามารถในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ภายในองค์กรว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยขนาดไหนเพื่อที่จะนำมาสร้างรายได้ให้แก่กิจการ บริษัทที่เป็นผู้นำตลาดคือ STPI มีอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์เท่ากับ 28.94% ส่วนบริษัทอื่นๆมีความสามารถในการใช้สินทรัพย์เพื่อสร้างผลกำไรต่ำกว่า 10% ทั้งสิ้น โดยอันดับสอง คือ SYNTEC (9.89%) มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และ CK (7.3%) สูงขึ้นเช่นกัน ส่วนบริษัทที่ติดลบได้แก่ PLE และ CNT อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity) บริษัทที่สามารถสร้าง ROE ได้มากกว่า 15-17% ถือว่าเป็นบริษัทที่สนใจบริษัทเหล่านั้นได้แก่ STPI (37.19%), CK (19.52%), STEC (16.83%) และ SYNTEC ขึ้นมาอยู่ที่ (15.95%) ตามลำดับ บริษัทที่มี ROE โตต่อเนื่องได้แก่ SYNTEC เพียงบริษัทเดียว

อัตรากำไรต่อหุ้น (Earning per Share) บริษัทที่สามารถสร้างอัตรากำไรต่อหุ้นให้สามารถเติบโตได้จากครึ่งปีแรกของปีก่อนหน้าได้มากที่สุด (EPS Growth) ได้แก่ CK (+207.5%), SYNTEC (44.44%), UNIQ (7.41%), STPI (5.48%) ตามลำดับ โดย SYNTEC, UNIQ และ STPI เป็นบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตของตัว Earning per Share เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การเติบโตของกำไรต่อหุ้นจะเป็นตัวบอกถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ว่าบริษัทสามารถสร้างกำไรส่วนเพิ่มให้แก่นักลงทุนต่อหนึ่งหน่วยลงทุนได้ดีมากน้อยขนาดไหนและเมื่อเราดูแนวโน้มอัตรากำไรต่อหุ้นประกอบทำให้เราสามารถเลือกบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตได้ดีมากขึ้น

อัตราหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) สัดส่วนของหนี้สินต่อทุนที่อยู่ในระดับปกติไม่ควรมีสัดส่วนของหนี้สินต่อส่วนของทุนมากกว่า 2 เท่า และถ้าจะให้ดีควรจะน้อยกว่า 1 เท่า บริษัทที่มีอัตราหนี้สินต่อทุนน้อยกว่า 2 เท่าได้แก่ STPI, SYNTEC, NWR, STEC และ CNT ถือว่าเป็นบริษัทที่มีวินัยทางการเงินค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับบริษัทอื่น

อัตรากำไรสุทธิ จะแสดงถึง ความสามารถในการทำกำไรสุทธิของบริษัท เป็นการวัดความสามารถของบริษัทในการควบคุมรายจ่ายทุกประการทั้งดอกเบี้ยและภาษีเมื่อเทียบกับยอดขาย หากอัตราส่วนนี้มีค่าสูงแสดงว่าบริษัทสามารถเปลี่ยนยอดขายให้เป็นกำไรสุทธิได้มาก

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) แสดงถึง สัดส่วนของเงินทุนจากการกู้ยืมต่อเงินทุนจากเจ้าของธุรกิจถ้าอัตราส่วนนี้สูงแสดงว่าบริษัทมีการกู้ยืมเงินในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินทุนจากผู้ถือหุ้นของบริษัท ทำให้มีความเสี่ยงในลักษณะเดียวกับอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์

อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset:ROA) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมของบริษัท เป็นการวัดความสามารถในการนำสินทรัพย์ทั้งหมดของธุรกิจใช่ในการสร้างยอดขายและควบคุมค่าใช่จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมดสุทธิจากภาษีแต่ก่อนต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิจากภาษีที่ประหยัดได้) อัตราส่วนที่สูงแสดงว่าบริษัทมีความสามารถสูงในการนำสินทรัพย์ไปสร้างกำไรจากการดำเนินงาน

อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรให้แก่เงินทุนของผู้ถือหุ้น หากค่าที่ได้จากการคำนวณสูงแสดงว่าผู้ถือหุ้นมีโอกาสได้รับเงินปันผลและผลตอบแทนที่สูง

บทความโดย : TerraBKK ข่าวอสังหาฯ แหล่งข้อมูล : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก