6 ลักษณะหุ้นที่นักลงทุนต้องรู้
ใครก็ตามที่คิดจะเริ่มต้นลงทุนต่างก็พยายามนึกถึงว่าเราจะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทไหนดีทั้ง การนำเงินไปฝากธนาคารกินดอกเบี้ยปีละ 2-3%, การซื้อพันธบัตรรัฐบาลดอกเบี้ย 4% ต่อปี บางคนก็เลือกที่จะทำธุรกิจหวังที่จะรวยในอนาคต หรืออีกสิ่งหนึ่งที่หลายๆคนเลือกที่จะลงทุนก็คือ “การลงทุนในตลาดหุ้น” ตลาดหุ้น หรือตลาดทุน ถือเป็นการลงทุนประเภทหนึ่งที่ใช้เงินลงทุนน้อย แต่ให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่ตามมาคือความเสี่ยงที่สูงมาก ดังนั้นก่อนที่เราจะเลือกลงทุนในตลาดหุ้นเราควรที่จะเตรียมความรู้ให้พร้อม บทความนี้ TerraBKK นำเสนอ 6 ลักษณะหุ้นที่นักลงทุนต้องรู้ก่อนตัดสินใจลงทุน การเข้าใจประเภทของหุ้นจะทำให้เราสามารถจัดพอร์ตการลงทุนได้อย่างเหมาะสมและอยู่ในความเสี่ยงที่ตนเองรับได้
ประเภทของหุ้นสามารถแบ่งได้ออกเป็น 6 ประเภทด้วยกันคือ
1.หุ้นบลูชิป (Blue Chip Stocks) ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่และเป็นที่รู้จักของคนโดยทั่วไป เช่น ปตท. (PTT) ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ส่วนใหญ่แล้วหุ้นประเภทนี้จะให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับตลาด และไม่หวือหวามากเมื่อเทียบกับหุ้นประเภทอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้วบริษัทที่เป็นหุ้นบลูชิปจะมีปัจจัยพื้นฐานดี มีสถานะการเงินที่มั่นคง และสามารถจ่ายเงินปันผลได้อย่างต่อเนื่อง หุ้นบลูชิปจึงเป็นหุ้นที่นักลงทุนสถาบันเลือกที่จะลงทุนรวมถึงกองทุนเลือกที่จะลงทุนในหุ้นบลูชิปเช่นเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีปันผลที่ดี แต่หุ้นบลูชิปก็ยังมีความเสี่ยงแต่น้อยกว่าหุ้นประเภทอื่น การเติบโตของธุรกิจก็อาจจะเป็นการเติบโตที่ค่อนข้างช้า
2. หุ้นตั้งรับ (Defensive Stocks) เป็นราคาหุ้นที่มีความแข็งแกร่งกว่าตลาด เช่น ตลาดตกลงมากแล้วแต่ราคาหุ้นก็ไม่ได้อ่อนไหวไปตามตลาดมากนัก แต่เมื่อตลาดปรับตัวขึ้นหุ้นประเภทนี้ก็ไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปมากเช่นกัน หุ้นประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเกี่ยวกับธุรกิจเกษตร อาหาร การแพทย์ หรือสาธารณูปโภค เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคไม่ได้แปรผันตามสภาพเศรษฐกิจ เพราะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับปัจจัย 4 ต้องกินต้องใช้ทำให้เป็นธุรกิจที่ทนทานต่อทุกสภาพเศรษฐกิจ การเติบโตของธุรกิจจึงเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป หรือถ้าจะตกก็ตกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
3.หุ้นเติบโต (Growth Stocks) หุ้นประเภทนี้ถือว่าเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนค่อนข้างสูง โดยลักษณะเฉพาะของหุ้นประเภทนี้ คือ ไม่จำเป็นต้องเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ แต่เป็นธุรกิจที่มีอนาคต สามารถสร้างยอดขาย กำไร และสินทรัพย์ ให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่แล้วหุ้นประเภทนี้จะจ่ายปันผลไม่สูงมากนักหรืออาจจะจ่ายปันผลเป็นหุ้น สาเหตุก็เพราะบริษัทเหล่านี้มักจะเอากำไรที่ได้ไปหมุนในธุรกิจต่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนต่อไปให้ธุรกิจเติบโต แน่นอนว่าการคาดหวังต่อตัวธุรกิจที่ค่อนข้างสูงส่งผลให้ราคาหุ้นสูงตามไปด้วยแต่ราคาที่สูงอาจจะยังถูกก็ได้เนื่องจากมูลค่าของกิจการในอนาคตมีค่ามากกว่าราคาหุ้นในปัจจุบัน
(ภาพจาก : www.marinerthai.net)
4. หุ้นวัฐจักร (Cyclical Stocks) เป็นหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงตามรอบของธุรกิจ ธุรกิจบางตัวจะมีช่วงที่เฟื่องฟูและช่วงที่ตกต่ำ ในช่วงที่เฟื่องฟู ยอดขาย กำไร จะเติบโตต่อเนื่อง แต่เมื่อถึงช่วงอิ่มตัวและกำลังจะตกต่ำจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงกันข้าม ทำให้เรามักจะเห็นราคาหุ้นเหล่านี้ขึ้นๆลงๆเป็นรอบใหญ่อยู่พอสมควร โดยส่วนใหญ่แล้วจะล้อไปตามสภาวะเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมที่เป็นวัฐจักร ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ วัสดุก่อสร้าง ยานยนต์ เครื่องประดับ พลังงาน เป็นต้น จากการขึ้น ๆ ลง ๆ ของหุ้นวัฐจักรทำให้นักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละอุตสาหกรรมสามารถจับจังหวะการลงทุนได้ง่ายและสามารถทำกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำทำให้ในบางครั้งราคาหุ้นวัฐจักร ถูกขับเคลื่อนด้วยความเชื่อ
5. หุ้นเก็งกำไร (Speculative Stocks) เป็นหุ้นขวัญใจของเหล่าแมงเม่าเลยก็ว่าได้ เพราะหุ้นประเภทนี้สามารถสร้างผลตอบแทนในรูปของส่วนต่างราคาได้อย่างรวดเร็วทันใจ กำไรก็กำไรมาก ขาดทุนก็ขาดทุนมากเช่นกัน โดยลักษณะของธุรกิจส่วนใหญ่แล้วจะเป็นหุ้นที่ไร้อนาคต ขาดทุนสม่ำเสมอ หรือว่าเสมอตัว ไม่ค่อยเป็นที่สนใจของนักลงทุนรายย่อยและรายใหญ่ เรามักจะพบข่าวลือทั้งเรื่อง การถูก Takeover การปรับเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น แบบนี้เป็นต้น
6. หุ้นฟื้นตัว (Turnaround Stocks) เป็นหุ้นที่นักลงทุนต่างคาดหวังว่า บริษัทที่ขาดทุนต่อเนื่องจนถึงขั้นล้มละลายจะสามารถกลับมามีกำไรได้อีกครั้งหนึ่ง โดยหุ้นประเภทนี้ให้ผลตอบแทนที่สูงมากหลายเท่าตัวถ้าหากบริษัทสามารถกลับมามีกำไรได้จริง แต่ถ้าหากไม่สามารถมีกำไรกลับมาได้นักลงทุนอาจจะไม่ได้รับเงินลงทุนกลับมาเลยเนื่องจากบริษัทนั้นล้มละลายและปิดตัวลง
บทความโดย : TerraBKK ข่าวอสังหาฯ TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก