สัญญาประเภทหนึ่งที่คนส่วนใหญ่รู้จักและคุ้นเคยกันมากก็คือ “สัญญาจะซื้อจะขาย” ซึ่งแน่นอนว่ามักจะเป็นสัญญาที่เกี่ยวกับบ้าน ที่ดิน และคอนโดซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ใครจะรู้บ้างว่า .. จริงๆแล้วสัญญาจะซื้อจะขายนั้นในทางกฎหมายแล้วหมายถึงอะไร? แล้วมีผลในทางกฎหมายอย่างไรบ้าง ..เรามาดูข้อกฎหมายกัน

1. สัญญาจะซื้อจะขายมักใช้กับนิติกรรมที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เป็นส่วนใหญ่

ในเรื่องการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์กฎหมายกำหนดว่าต้อง “ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่” แปลง่ายๆว่า ให้ทำเป็นหนังสือสัญญานั้นแหละและไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ต่อเจ้าหน้าที่ที่ดิน ณ สำนักงานที่ดินที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ แต่ก็อย่างที่รู้ๆกันว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นมีราคาค่อนข้างสูงคนส่วนใหญ่จึงมักจะทำสัญญาจะซื้อจะขายกันไว้ก่อนและไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันในภายหลัง ซึ่งอาจมีการวางมัดจำหรือไม่ก็ได้ขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรอง แต่ส่วนใหญ่มักจะมี เผื่อว่าผู้ซื้อผิดสัญญาไม่ทำการซื้อตามที่ตกลงกันไว้ ผู้ขายก็สามารถริบเงินมัดจำนั้นได้

2. สัญญาจะซื้อจะขายถือเป็นหลักฐานสำคัญในการใช้สิทธิฟ้องร้องคดีต่อศาล

ในกรณีที่มีข้อพิพาทกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ขายผิดสัญญาไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ให้ หรือผู้ซื้อไม่ชำระราคาหรือชำระราคาไม่ครบถ้วนก็ตาม หากต้องการฟ้องร้องคดีต่อศาลกฎหมายได้กำหนดเงื่อนไขในการฟ้องคดีไว้ 3 ประการ ซึ่ง 1 ในนั้นก็คือ “การทำหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ” โดยหลักฐานเป็นหนังสือนั้นไม่จำกัดเฉพาะหนังสือสัญญาเพียงอย่างเดียว อาจเป็นจดหมายตอบโต้กันก็ได้ ซึ่งอาจมีฉบับเดียวหรือหลายฉบับรวมกันก็ได้ และต้องมีลายมือชื่อของจำเลยเซ็นเอาไว้ด้วย มิฉะนั้นแล้วแม้จะเสียหายมากเพียงใด เราก็ฟ้องคดีต่อศาลไม่ได้ ถึงฟ้องได้ศาลก็ยกฟ้อง แถมนำสืบพยานบุคคลแทนก็ไม่ได้อีกต่างหาก ฉะนั้น สัญญาจะซื้อจะขายควรทำคู่ฉบับให้เพียงพอกับคู่สัญญาทุกคน แล้วเก็บเอาไว้ให้ดี

3. สัญญาจะซื้อจะขายต้องมีข้อตกลงว่าจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ณ สำนักงานที่ดินกันในภายหลัง

หัวใจสำคัญที่จะบ่งบอกว่าสัญญานั้นเป็นสัญญาจะซื้อจะขายหรือไม่ ก็คือ สัญญานั้นมีข้อความทำนองว่า “คู่สัญญาตกลงกันไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในบ้าน หรือที่ดิน หรือบ้านพร้อมที่ดินอะไรก็ว่าไป กันในวันที่เท่านั้นเท่านี้ โดยผู้ซื้อจะชำราคาให้แก่ผู้ขายทั้งหมดในวันดังกล่าว” เป็นต้น หากมีข้อความประมาณนี้ในสัญญาให้ตีความได้เลยว่าสัญญานั้นเป็นสัญญาจะซื้อจะขายแน่นอน เพราะคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต่างมีสิทธิหน้าที่ระหว่างกันที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญากันอยู่อีก โดยผู้ซื้อก็มีหน้าที่ชำระราคาให้แก่ผู้ขาย ส่วนผู้ขายที่มีหน้าที่โอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นๆให้กับผู้ซื้อ เป็นต้น

4. ถ้าไม่มีข้อตกลงเรื่องการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ กฎหมายถือว่าเป็น “สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด” และเมื่อไม่ได้มีการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การซื้อขายนั้นย่อมตกเป็นโมฆะ

ในกรณีที่สัญญาไม่ได้มีข้อตกลงกันว่าจะไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ สำนักงานที่ดินภายหลัง คำพิพากษาศาลฎีกาส่วนมากได้วางบรรทัดฐานเอาไว้ว่า สัญญาดังกล่าวนั้นคือ “สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด” ไม่ใช่ “สัญญาจะซื้อจะขาย” เพราะทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างไม่ได้มีพันธะใดๆต่อกันที่จะปฏิบัติตามสัญญาอีกต่อไป เมื่อสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดนั้นไม่ได้ดำเนินการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบที่กฎหมายกำหนด สัญญาซื้อขายนั้น ย่อมตกเป็นโมฆะ

คดีตัวอย่าง : ตราบใดที่ยังมีข้อตกลงว่าจะไปโอนกรรมสิทธิ์ ณ สำนักงานที่ดินกันอยู่ ไม่ว่าจะทำสัญญากี่ฉบับสัญญาเหล่านั้นก็เป็นสัญญาจะซื้อจะขายทั้งสิ้น

คดีนี้ ผู้ซื้อและผู้ขายทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันมาก่อนโดยกำหนดวันจดทะเบียนโอนที่ดินกันไว้ ต่อมาเมื่อผู้ซื้อชำระราคาให้ผู้ขายครบถ้วนแล้วจึงได้ทำสัญญาอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งแม้จะระบุว่าเป็นสัญญาซื้อขาย แต่ก็มีข้อตกลงกำหนดไว้ในสัญญาว่า “หากถึงกำหนดผู้ขายไม่โอนที่ดินให้ผู้ซื้อ ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับอีกหนึ่งเท่าของเงินที่ขาย”

ศาลตีความว่าผู้ซื้อและผู้ขายมีเจตนาที่จะไปจดทะเบียนโอนที่ดินซื้อขายกันในภายหลังเช่นเดียวกับที่ตกลงกันไว้ในสัญญาจะซื้อจะขายที่ทำต่อเนื่องกันมา แม้ผู้ขายจะส่งมอบที่ดินที่ซื้อขายให้ผู้ซื้อแล้วก็ตาม แต่เมื่อผู้ซื้อและผู้ขายมีเจตนาที่จะไปจดทะเบียนโอนที่ดินที่ซื้อขายกันให้เสร็จเด็ดขาดต่อไปสัญญาซื้อขายดังกล่าวจึงเข้าลักษณะเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย ไม่ใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดซึ่งจะตกเป็นโมฆะ เพราะไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

สรุป

หากท่านผู้อ่านประสงค์จะทำสัญญาจะซื้อจะขายขึ้นมาซักฉบับนึง นอกเหนือจากข้อตกลงในเรื่องอื่นๆแล้ว สัญญาฉบับนั้นต้องมีข้อความทำนองว่า ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงกันจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ณ สำนักงานที่ดินกันอีกครั้งหนึ่งภายหลังทำสัญญาฉบับดังกล่าว หาไม่แล้วกฎหมายถือว่าสัญญาฉบับนั้นเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เมื่อสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดนั้นไม่ได้ดำเนินการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ กรมที่ดิน สัญญาซื้อขายนั้นย่อมตกเป็นโมฆะ เพราะไม่ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด

อ้างอิง : 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่ บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาสองหมื่นบาทหรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย”

2. คำพิพากษาฎีกาที่ 144/2549