จับเข่าคุยคุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ แห่ง เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เบื้องหลังความสำเร็จ สไตล์ Top of Class ของ M Project และ Maestro Residences
จับเข่าคุยคุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ แห่ง เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เบื้องหลังความสำเร็จ สไตล์ Top of Class ของ M Project และ Maestro Residences
“อย่ามัวชื่นชมกับความสำเร็จในอดีต” เพราะความสำเร็จในอดีต ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เรา “เดินไปข้างหน้าต่อได้” คุณเพชรลดา กล่าว
หากไม่ได้ยินด้วยตัวเองคงยากจะเชื่อว่าคอนโดมิเนียมไฮเอนด์ทั้ง 11 แห่งตระกูล M Project (เอ็ม โปรเจ็ค) และ Maestro Residences (มาเอสโตร เรสซิเด้นซ์) จะมีจุดเริ่มต้นจากทีมงานเพียงไม่กี่คน และเกิดจากบริษัทที่บุกเบิกเส้นทางธุรกิจนี้ ในยุควิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องยกเครดิตให้กับฝีมือการบริหารของ คุณ เพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เอสเตท จำกัด บริษัทในเครือบริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)
ย้อนไปเมื่อครั้งบุกเบิก เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เริ่มต้นจากวิสัยทัศน์ของสองพี่น้อง เพชรลดาและสุริยน พูลวรลักษณ์ที่เบนเข็มมาจับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เมื่อ 19 ปีที่แล้ว จากทีมงานเพียง 5 คน แต่กลับประสบความสำเร็จกับโครงการทำเลแรกๆ ในย่านทองหล่อ คือ โครงการ Hampton Thonglor ท่ามกลางยุควิกฤติต้มยำกุ้ง สวนกระแสด้วยการจับตลาดพัฒนาคอนโดมิเนียมลักชัวรี่ และฉีกกฏเกณฑ์การขายคอนโดมิเนียมแบบเดิมๆ ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็น “คีย์ซัสเซสก้าวแรก” ที่ปูพรมตัวตนของ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ บนเส้นทางนี้
สำหรับทุกโครงการจากบริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เอสเตท จำกัด จะคงความหรูหรา มีระดับ เพราะมีเป้าหมายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยยึดหลัก Inspired by Excellence and Style ทุกโครงการจึงมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว สวยงาม ใส่ใจในรายละเอียด ทั้งสถาปัตยกรรม, การออกแบบห้องให้เหมาะกับการใช้งาน, ส่วนกลาง หรือ Facility ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยเป็นหลัก
จุดเริ่มต้นของบริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เอสเตท จำกัด บริษัทในเครือบริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)
สำหรับชื่อของ บจ. เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เอสเตท แม้บางคนอาจไม่คุ้นหูนัก แต่ด้วยความตั้งใจที่ตั้งชื่อให้คล้ายกัน เชื่อว่าทุกคนพอเดาได้ว่าเป็นหนึ่งในเครือของ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ด้วยสไตล์การทำงานที่แตกต่างกันของ 3 พี่น้อง แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือสร้างการเติบโตให้กับ เมเจอร์ ฯ จึงแบ่งการบริหารงานออกมาเป็นรูปแบบบริษัทในเครือ ซึ่งแต่ละคนก็มีอิสระในการทำงานกันอย่างแท้จริง “มาวันนี้บริษัทเราใหญ่ขึ้น ในบางธุรกิจครอบครัว (family business) อาจแบ่งการบริหารแบบ คนนี้ดูแลการตลาด คนนี้ดูแลการก่อสร้าง แต่สำหรับเราแบ่งในลักษณะที่ทำให้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของบริษัท เพราะถึงแม้เราเป็นพี่น้องที่ร่วมก่อตั้ง เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ด้วยกันมา แต่สไตล์การทำงานต่างกัน เมื่อบริษัทเติบโตเราจึงแบ่งการบริหารแตกออกมาเป็นรูปแบบบริษัทในเครือ” คุณเพชรลดา กล่าว
เพชรลดา เกริ่นถึงแนวคิดการบริหารองค์กรใหม่นี้ ที่ไม่เพียงเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารความเสี่ยง แต่ยังเกิดแนวทางการบริหารที่ชัดเจนในแต่ละสายผลิตภัณฑ์ ที่สามารถลงลึกในรายละเอียดของแต่ละโครงการให้มากขึ้น “โดยส่วนตัวเราค่อนข้างให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง เพราะเราเชื่อว่าความสำเร็จในอดีตไม่ได้การันตีว่าทุกอย่างจะเดินไปข้างหน้าได้ ฉะนั้นต้องมอนิเตอร์จับชีพจรของเราตลอดเวลา ว่าความเสี่ยงของเราอยู่ในระดับไหน มองหาการเติบโตที่มีความมั่นคงทั้งระยะสั้นและระยะยาวควบคู่กันไป วันนี้เรามี milestone เราเตรียมพร้อมที่จะพัฒนาโครงการให้ครบวงจรธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อบริหารรายได้ทั้งรายรับจากการขาย รายรับจากค่าเช่า และค่าบริหารงาน ของอาคารสำนักงาน โรงแรม ภายใต้ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด (MDH) ซึ่งประกอบไปด้วย Major Tower และ Centra Maris Resort Jomtien เพื่อสร้างรายได้แบบคงที่ (Recurring Income) ในสัดส่วน 30% ของรายได้รวม ภายใน 3-5 ปี”
การขยายสายผลิตภัณฑ์จึงมีมากขึ้น ทั้ง คอนโดมิเนียมแบบไฮไรส์ โลว์ไรส์ พร้อมทั้งวางแผนเปิดตัวโครงการแนวราบบ้านเดี่ยว ทำเลในเมืองในเร็วๆ นี้ “เราไม่ได้จำกัดการพัฒนาเพียงอาคารสูงอย่างเดียว เพราะคอนโดไฮไรส์มีระยะเวลาก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมส่งมอบใช้เวลาประมาณ 2-3ปี และคอนโดโลว์ไรส์ที่สามารถส่งมอบได้ในระยะเวลาที่สั้นกว่าคือภายใน 1 ปีครึ่ง ส่วนบ้านเดียวก็ใช้เวลาก่อสร้างที่น้อยกว่า 1 ปี เราจึงวางแผนใหม่เตรียมพร้อมที่จะพัฒนาโครงการให้ครบวงจร เพื่อสามารถบริหารการเงินให้เติบโตแบบยั่งยืน ไม่เป็นคลื่นขึ้นลงแบบ Roller coaster อย่างที่ผ่านมา”
“ในอนาคตใกล้ใกล้นี้เราก็กำลังจะสร้าง อีกหนึ่ง บริษัทชื่อ เมเจอร์ ดีเวลอปเม้นท์ พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแทนท์ มาดูแลในส่วนตลาดขายต่อ (Resale) เนื่องด้วยต่อไปจากนี้เราจะมีโครงการ และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์มากขึ้น เราก็ควรจะต้องจัดระเบียบเตรียมไว้ก่อน”
ความตั้งใจในทุกรายละเอียด Attention to details ต่อการพัฒนา M Project และ Maestro Residences สู่การเป็น “Top of The Class” ในทุกโลเคชั่น
โครงการคอนโดไฮไรส์ในตระกูล M Project ทั้ง 5 โครงการ (ได้แก่ M Silom, M Phyathai, M Ladprao, M Jatujak, M Thonglor 10) และโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ในตระกูล Maestro Residences ทั้ง 6 โครงการ (ได้แก่ Maestro 39 Sukhumvit 39, Maestro 12 Ratchathewi, Maestro 02 Ruamrudee, Maestro 01 Sathorn-Yen Akat, Maestro 03 Ratchada-Rama 9, Maestro 14 Siam-Ratchathewi) ที่คงจุดยืนเดียวกันกับของ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ คือ ทุกโครงการต้องเป็น “Top of The Class” เพื่อส่งมอบบรรทัดฐานใหม่แห่งการอยู่อาศัยที่ดีที่สุด ส่งมอบที่อยู่อาศัยที่มากกว่าความต้องการของลูกค้าบนทําเลที่ดีเยี่ยม
ทั้ง 11 โครงการภายใต้การบริหารงานของ คุณเพชรลดา เกิดมาจากความเอาใจใส่ลงมือทำงานเองในทุกรายละเอียด แบบ Attention to details สู่ความเป็น Top of Class ในทุกทำเลที่ตั้งที่ไม่ใช่แค่ความหรูหรา ราคาแพง “เราเต็มที่กับทุกโครงการ คิดละเอียด คิดใหม่เพื่อตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยในแต่ละทำเลตามความถนัด คือการพัฒนาโครงการที่เป็น Top Class เพราะมีความเชื่อว่า ในทุกกลุ่มคนมีความลักชัวรี่ที่แตกต่างกัน ไม่จำเป็นว่า “ลักชัวรี่แล้วต้องแพง” นั่นคือลักชัวรี่ของคนกลุ่มหนึ่งอาจไม่สอดคล้องกับคนอีกกลุ่มหนึ่งนั่นเอง ดังนั้นหน้าที่ของเรา คือพัฒนาทุกโครงการโดยให้ความสำคัญกับดีไซน์ที่เอื้อประโยชน์ระยะยาว เพราะที่อยู่อาศัยจะบ่งบอกเอกลักษณ์บางอย่างเกี่ยวกับคนที่อยู่ในนั้น”
“คำว่าระยะยาวในความหมายของเรา คือต้องเป็นความสวยที่สวยทั้งวันนี้และต่อไปอีก 10 ปีในอนาคตก็ยังสวย จะไม่ทำอะไรที่โฉบเฉี่ยวเกินไป หรือแฟชั่นเกินไปเพราะมันจะมาเร็วไปเร็ว ไม่สามารถเป็นทรัพย์สินที่ดี ของทั้งผู้ซื้อเพื่ออยู่เอง และเพื่อลงทุน สำหรับหลักการซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้น ต้องได้กำไรจากการขาย (Capital Gain) นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุดที่เรายึดถือ โครงการของเราจึงต้องสวยและมีคุณค่าตลอดไป ไม่ใช่สวยวันนี้ หรืออีกสักสองสามปี แล้วหลังจากนั้นเชย” เพชรลดา เผยถึงหัวใจหลักการพัฒนาไฮเอนด์คอนโดมิเนียม ซึ่งได้ถ่ายทอดมาสู่ตัวตนของ M Project และ Maestro Residences “และการตอบรับจากลูกค้าสำหรับสองแบรนด์นี้ ได้รับการตอบรับที่ดี ซึ่งแต่ละโครงการจะได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าที่ต่างกัน แล้วแต่โลเคชั่นอย่าง Maestro 39 Sukhumvit 39 เป็นโลเคชั่นของการลงทุน เพราะอยู่ใจกลางสุขุมวิทในราคาที่เอื้อมถึงได้ แถวนั้นคนญี่ปุ่นอยู่เยอะ ณ วันนี้กลุ่มลูกค้าก็ได้รับผลตอบแทนที่ดีทั้ง Capital gain และ Yield”
สำหรับ Maestro 39 Sukhumvit 39 ทำเลที่ชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่มาก “ออกแบบโครงการให้ทุกห้องมีอ่างอาบน้ำ ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นที่คนญี่ปุ่นต้องการเป็นอันดับต้น ๆ เอาไลฟ์สไตล์ของผู้ที่จะอยู่อาศัยจริงมาเป็นตัวตั้ง แล้วค่อยมาแตกโจทย์รูปแบบโครงการ ทั้งขนาดห้องชุด, สิ่งอำนวยความสะดวก, ว่าควรมีอะไร ทำให้โครงการนี้มีออนเซ็น นอกเหนือจากอ่างอาบน้ำในห้อง ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี หรืออย่าง Maestro 12 Ratchathewi ซึ่งใกล้สถานศึกษา ลูกค้าจะเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง เราจึงออกแบบให้โครงการนั้นมีห้องอ่านหนังสือ ห้องสมุด ห้องคาราโอเกะ และมีกลุ่มนักเรียน นักศึกษาใช้งานกัน เต็มทั้งวันทั้งคืน”
จากปรัชญา “เราใส่ใจทุกรายละเอียดของผู้อยู่อาศัย เสมือนว่าเป็นที่อยู่ของเราเอง” ต่อยอดสู่การเปิดบริการ Property Management ภายใต้ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จำกัด
ไม่เพียงการออกแบบ แต่ตีโจทย์การอยู่อาศัยที่คิดมากกว่าความต้องการของลูกค้า เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เอสเตท ยังยึดปรัชญา “เราใส่ใจทุกรายละเอียดของผู้อยู่อาศัย เสมือนว่าเป็นที่อยู่ของเราเอง” จึงเน้นระบบการให้บริการหลังการขายด้วย ซึ่งในวันนี้ได้เปิดให้บริการงานบริหารโครงการ ภายใต้ชื่อ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จำกัด
“เราเป็นผู้พัฒนาที่มีความรับผิดชอบในอาชีพของเรา เรามั่นใจตรงนี้ เราดูแลลูกค้า คือเป็นเรื่องง่ายที่ขายเสร็จแล้วก็ลาจาก แต่เรามี Property Management ช่วยดูแลลูกบ้าน เราบอกทีมงานเสมอว่าถ้าคุณเป็นเจ้าของห้องชุดนี้ คุณคาดหวังอะไร เอาใจเขามาใส่ใจเรา นั่นคือสิ่งที่คุณต้องถามตัวเองให้ได้ก่อนแล้ว จึงให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า” คุณเพชรลดา กล่าว
ก้าวต่อไปอย่างยั่งยืน “แบบไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่ต้องรู้ลึกทุกความเสี่ยง และบริหารความเสี่ยงให้ได้”
ทุกแนวคิดในการทำงานล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของผู้บริหาร และถึงแม้จะปลุกปั้นแบรนด์คอนโดฯ จนติดตลาดมาหลากหลายโครงการ แต่คุณเพชรลดายังมองว่าไม่ถึงจุดเรียกว่าประสบความสำเร็จ ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมาก “พูดตามตรงยังเรียนรู้อยู่ในทุกๆ วัน คือถ้าเรามีความลุ่มหลงอยู่กับมัน เราจะเก็บเกี่ยวได้ในทุกๆด้าน แล้วนำมาพัฒนาทำให้เราเข้มแข็งขึ้น ช่วยให้เราตัดสินใจในเรื่องที่แตกต่างกันได้ดีขึ้น อย่างน้อยเรายังรู้สึกภูมิใจว่าทำบางอย่างแล้วออกมาดี แต่ยังไม่ได้รู้สึกว่าสำเร็จ คือถ้ารู้สึกสำเร็จแล้ว จะทำให้พลังบางอย่างหายไป บริษัทก็เหมือนกับคนๆ หนึ่งที่มีอายุของมัน อย่างเข้าตลาดหลักทรัพย์เรียกว่าสำเร็จระดับหนึ่ง ถ้าเรา มีความสุขอยู่กับความสำเร็จ ณ จุดที่เราเข้าตลาดหลักทรัพย์ก็คงไม่มีวันนี้ เพราะฉะนั้นถึงมักมีคนบอกว่า ความสำเร็จฟังแล้วดูดี แต่ว่ามันจะมีอยู่เรื่อยๆ แล้วแต่ว่าเราต้องการ ณ ระดับไหน”
มองตลาดคอนโดมิเนียมในวันนี้ เป็นตลาดของผู้บริโภค เพราะมีทางเลือกเยอะมากในการตัดสินใจ “ทุกวันนี้คอนโดฯ เป็นปัจจัย Must Have ของคนกรุงเทพฯ ไปแล้ว ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เวลาเริ่มโครงการจึงตีโจทย์ไม่เหมือนกัน เพราะการมองของที่จำเป็น กับการมองของที่อยากได้ มีหลายอย่างที่ต้องพิจารณา บางโครงการต้องเน้นโลเคชั่นบางโครงการก็ไม่ใช่” เพชรลดา เผยถึงเทรนด์การบริโภคของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้การพัฒนาคอนโดฯ ยุคนี้ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว
ฟังวิธีคิดของหญิงแกร่งแห่งวงการอสังหาฯ คนนี้แล้ว บอกได้เลยว่าอนาคตของ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เอสเตท คงเติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างแน่นอน - เทอร์ร่า บีเคเค
บทสัมภาษณ์โดยเหยี่ยวข่าวทีมงาน TerraBKK ขอบคุณข้อมูลจาก www.mde.co.th