สรุปผลประกอบการกลุ่ม "ค้าปลีก" ประจำไตรมาส 2 ปี 2559
TerraBKK Research ได้รวบรวมข้อมูลทางการเงินของบริษัทกลุ่ม “ค้าปลีก” ประจำไตรมาส 2 ปี 2559 จะมีบริษัทไหนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างน่าประทับใจและสร้างผลงานได้โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม มีด้วยกันทั้งหมด 20 ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาด SET เท่านั้น ไม่ได้นำบริษัทในตลาด MAI เข้ามาวิเคราะห์ด้วย ในปี 2559 เรามาดูกันว่าผลงานของแต่ละบริษัทจะเป็นเช่นไร TerraBKK Research ได้รวบรวมข้อมูลมาดังต่อไปนี้
จากการสำรวจผลประกอบการกลุ่มค้าปลีก ในไตรมาสที่ 2 ปี 2559 พบว่าบริษัทที่มีแนวโน้มของการเติบโตของรายได้ อัตรากำไรต่อหุ้น และมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนในระดับสูง บริษัทเหล่านั้นได้แก่ BIG และ BEAUTY
(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)
รายได้ (Revenue) จากรายได้ของกลุ่มค้าปลีกเราจะเห็นว่าแนวโน้มของไตรมาส 2 ของเกือบทุกบริษัทมีแนวโน้มรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากงวดเดียวกันของปีที่แล้ว แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการขยายตัวของบริษัทที่ยังไม่อิ่มตัวและกำลังซื้อในกลุ่มต่างๆ ที่ยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเพียง 3 บริษัทเท่านั้นที่มีแนวโน้มของรายได้ที่เติบโตลดลง ได้แก่ SINGER (-26.02% YoY), CSS (-11.15% YoY) และ BIGC (-1.06% YoY) ส่วนบริษัทที่มีแนวโน้มของรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมากกว่า 20% ได้แก่ BJC (+311.96% YoY), BEAUTY (+44.91% YoY), LOXLEY (+42.85% YoY), KAMART (+37.77% YoY), BIG (+30.94% YoY) และ MIDA (+24.74% YoY)
(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)
อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin : NPM) เป็นอัตราส่วนที่บอกถึงความสามารถในการทำกำไรของกิจการ (Profitability) ในกลุ่มค้าปลีกบริษัทที่มีอัตรากำไรสุทธิมากที่สุด (มากกว่า 10%) ได้แก่ BEAUTY, MC, KAMART, BIG และ MEGA แต่ถ้าหากเราดูถึงแนวโน้มเราจะพบว่าบริษัทที่มี NPM เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องติดต่อกันถึง 3 ปี ได้แก่ BEAUTY, BIG, MEGA, GLOBAL, BIGC และ CPALL
(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset : ROA) เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของกิจการ (Efficiency) ว่า บริษัทสามารถนำสินทรัพย์ที่มีอยู่ไปสร้างผลตอบแทนได้มากน้อยขนาดไหน ถ้ายิ่ง ROA มีค่ามากแสดงว่าดี แต่ถ้า ROA ต่ำแสดงว่าไม่ดี บริษัทที่มี ROA อยู่ในระดับสูงมากกว่า 10% ได้แก่ BIG, BEAUTY, KAMART, MC, MAKRO, ROBINS, MEGA และ CPALL
(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)
อัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) เป็นตัวชี้วัดถึงความสามารถในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น ยิ่งตัวเลขมากยิ่งดี บริษัทที่มีความสามารถในการสร้างผลตอบแทนมากกว่า 15% ได้แก่ BIG, CPALL, BEAUTY, MAKRO, KAMART, COM7, HMPRO, MC, ROBINS, MEGA และ BIGC แต่ถ้าดูแนวโน้มบริษัทที่มี ROE เพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ CPALL และ BEAUTY เพียงสองบริษัทเท่านั้น
(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)
กำไรต่อหุ้น (Earning per Share : EPS) กำไรต่อหุ้นเป็นอัตราส่วนที่บอกถึงผลตอบแทนของกำไรสุทธิต่อหนึ่งหุ้น บริษัทที่มีการเติบโตของกำไรสุทธิมากจะแสดงถึงความสามารถในการรับรู้กำไรต่อหนึ่งหุ้นที่มากขึ้นด้วย ดังนั้นเราจะให้ความสำคัญกับการเติบโตของกำไรต่อหุ้นเป็นหลัก บริษัทที่มีการเติบโตกำไรต่อหุ้นมากที่สุด (EPS Growth) คือ IT (+200% YoY), BIG (+150% YoY), BEAUTY (+66.67% YoY), ROBINS (+37.50% YoY), GLOBAL (+37.50% YoY), CPALL (+34.29% YoY), HMPRO (+33.33% YoY) และ MEGA (+31.58% YoY) ในส่วนบริษัทที่มีแนวโน้มของกำไรต่อหุ้นโตต่อเนื่อง ได้แก่ BIGC, SPC, CPALL, BEAUTY ,MEGA และ GLOBAL
(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)
หนี้สินต่อทุน (Debt to Equity) อัตราหนี้สินต่อทุนควรอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจาก การระดมทุนจากส่วนของหนี้สินมากๆ ส่งผลต่อการขยายตัวของบริษัทในการระดมทุนในอนาคต เพราะถ้าหากหนี้สินมากจะไม่สามารถขอกู้จากสถาบันการเงินได้ทำให้บริษัทต้องหันมาระดมทุนจากผู้ถือหุ้นผ่านการออกหุ้นเพิ่มทุนส่งผลให้จำนวนหุ้นมากขึ้นถ้าบริษัทเอาเงินเพิ่มทุนไปแต่ไม่สามารถสร้างกำไรได้ดีจะส่งผลให้กำไรต่อหุ้นลดลงจากจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่จะไม่ชอบที่กำไรต่อหุ้นของตนเองลดลงในที่สุดมันจะถูกสะท้อนออกมายังราคาหุ้นที่ลดลง บริษัทที่มีอัตรากำไรต่อหุ้นเกิน 2 เท่า จะเป็นบริษัทที่มีความเสี่ยงจะออกหุ้นเพิ่มทุนบริษัทเหล่านั้น คือ BIGC มี D/E Ratio เท่ากับ 2.71 เท่า - เทอร์ร่า บีเคเค
อัตรากำไรสุทธิ จะแสดงถึง ความสามารถในการทำกำไรสุทธิของบริษัท เป็นการวัดความสามารถของบริษัทในการควบคุมรายจ่ายทุกประการทั้งดอกเบี้ยและภาษีเมื่อเทียบกับยอดขาย หากอัตราส่วนนี้มีค่าสูงแสดงว่าบริษัทสามารถเปลี่ยนยอดขายให้เป็นกำไรสุทธิได้มาก
อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) แสดงถึง สัดส่วนของเงินทุนจากการกู้ยืมต่อเงินทุนจากเจ้าของธุรกิจถ้าอัตราส่วนนี้สูงแสดงว่าบริษัทมีการกู้ยืมเงินในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินทุนจากผู้ถือหุ้นของบริษัท ทำให้มีความเสี่ยงในลักษณะเดียวกับอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์
อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset:ROA) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมของบริษัท เป็นการวัดความสามารถในการนำสินทรัพย์ทั้งหมดของธุรกิจใช้ในการสร้างยอดขายและควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมดสุทธิจากภาษีแต่ก่อนหักต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิจากภาษีที่ประหยัดได้) อัตราส่วนที่สูงแสดงว่าบริษัทมีความสามารถสูงในการนำสินทรัพย์ไปสร้างกำไรจากการดำเนินงาน
อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรให้แก่เงินทุนของผู้ถือหุ้น หากค่าที่ได้จากการคำนวณสูงแสดงว่าผู้ถือหุ้นมีโอกาสได้รับเงินปันผลและผลตอบแทนที่สูง
บทความโดย : TerraBKK เคล็ดลับการลงทุน แหล่งข้อมูล : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก