ยังนิยมเลี้ยงลูกให้ อ้วน กันอยู่หรือเปล่า?
พ่อแม่หลายคนชอบสรรหาของกินมาขุนเจ้าตัวเล็กให้อ้วน เพราะความเชื่อที่ว่า “เด็กอ้วน” คือ เด็กน่ารัก จ้ำม่ำ น่ากอด น่าอุ้ม แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ลูกรักเติบโตมาพร้อมความเสี่ยงจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ควรทบทวนและปรับเปลี่ยนความคิดกันใหม่ก่อนสายเกินแก้ค่ะ
ทุกวันนี้ประเทศไทยมีเด็กวัยเรียนที่เข้าข่ายอ้วนกว่า 600,000 คน สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการกินอาหารที่ไม่ได้สัดส่วนและปริมาณที่เหมาะสมตามวัย
รวมถึงกระแสการกินแบบตะวันตกทำให้อาหารจานด่วน อาหารสำเร็จรูป และอาหารกึ่งสำเร็จรูป ได้เข้ามามีบทบาทแทนที่อาหารมื้อหลัก ซึ่งอาหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ประกอบด้วยแป้ง น้ำตาล และไขมันสูง และยิ่งกินในปริมาณที่มากเกินความต้องการของร่างกาย โดยไม่มีการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ผลที่ตามมาคือ ทำให้เกิดการสะสมของพลังงานที่ไม่จำเป็น ยิ่งมาก ก็ยิ่งเสี่ยงต่อโรคอ้วนตามไปด้วย
จากการศึกษาวิจัยหลายแห่งพบว่า เด็กที่อ้วนตั้งแต่อนุบาลจนถึงประถมศึกษา มีโอกาสที่จะเป็นผู้ใหญ่อ้วน 30% พ่อแม่ ผู้ปกครองหลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า…
เด็กที่อยู่ในภาวะอ้วนนั้น ไม่ได้เสี่ยงต่อโรคอ้วนเพียงโรคเดียว แต่ยังเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด และระบบทางเดินหายใจผิดปกติตามมาอีกด้วย
ซึ่งหากลองสังเกตเด็กที่อ้วนมากๆ ในขณะที่หลับจะพบว่า เด็กเหล่านี้จะหลับไม่สนิทเนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสม ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เต็มที่ เกิดอาการหยุดหายใจขณะหลับ เมื่อต้องเข้าเรียนก็จะนั่งหลับและง่วงซึมตลอดเวลา ส่งผลกระทบต่อการเรียน
การป้องกันไม่ให้ลูกอ้วน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายๆ ฝ่าย ทั้งตัวเด็กเอง ที่ต้องปรับเปลี่ยนนิสัยการกินให้ถูกต้องและออกกำลังกายสม่ำเสมอ ส่วนพ่อแม่ผู้ปกครองช่วยได้ด้วยการจัดอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสม ลดอาหารหวาน มัน เค็มและเพิ่มผัก ผลไม้สดในมื้ออาหาร รวมทั้งหากิจกรรมที่ช่วยให้ลูกได้เคลื่อนไหวร่างกายและออกกำลังกาย
เริ่มตั้งแต่วันนี้ ค่อยๆ ปรับพฤติกรรมของลูกรัก แรกๆ อาจจะยาก แต่ถ้าใช้ความอดทน ความสำเร็จไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน อย่าลืมว่าหากปล่อยให้อ้วนเท่ากับเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บนะคะ
หมายเหตุ : ภาพประกอบบทความ บางภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาแต่อย่างใด
ขอบคุณข้อมูลจาก : ยังนิยมเลี้ยงลูกให้ อ้วน กันอยู่หรือเปล่า?
Discussion
Follow breaking news Investment property articles on Facebook, click here.