“ เงิน ” อาจจะเป็นได้ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีนะคะ แต่หากเราพูดถึงเรื่องเงินกับความสัมพันธ์ในชีวิตคู่นั้น เงินนับว่าเป็นหายนะในความสัมพันธ์มากที่สุดเลยก็ว่าได้ค่ะ ทั้งนี้ได้มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า เงินนั้นเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการหย่าร้างมากที่สุดในโลกเลยค่ะ ซึ่ง Sonya Britt ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยรัฐแคนซัส ซึ่งเป็นผู้ทำการศึกษาเรื่องการโต้แย้งทางการเงิน กับความพึงพอใจในความสัมพันธ์ของคู่สมรส 4,500 คู่ยังกล่าวด้วยว่า "ไม่ใช่เรื่องลูก เรื่องเพศ เรื่องกฎหมาย หรือสิ่งอื่นใดที่ทำให้คู่สมรสเกิดการหย่าร้าง แต่มันคือเรื่องเงินนั่นเอง" อย่างไรก็ดี เราทุกคนมีความเชื่อมั่นที่ฝังแน่นลึกซึ้งเกี่ยวกับวิธีการใช้เงินของตัวเอง ว่าเมื่อไหร่ควรที่จะใช้มัน ควรใช้มันแค่ไหน ควรเก็บออมเท่าไหร่ และอาจเป็นเรื่องยากที่จะลองใช้วิธีทางการเงินของผู้อื่น ซึ่งอาจมีความแตกต่างเป็นอย่างมากจากของตัวเราเอง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่มีคู่รักจำนวนมากเข้ามาปรึกษาเรื่องการเงินกับที่ปรึกษาทางการเงินค่ะ ลองมาดูกันดีกว่าว่า ทำไมคุณต้องแยกเรื่องเงินให้ห่างจากความรักของคุณค่ะ

1. เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่สมดุล

การผสานการเงิน หรือที่เรียกว่า Merging finances หมายความว่า ไม่มีทั้งคำว่า "ของคุณ" และ "ของฉัน" ในเรื่องการเงินในชีวิตคู่ เพราะเงินทั้งหมดของคุณและคู่สมรสจะอยู่ในบัญชีธนาคารเดียวกัน แต่ถ้าคู่ของคุณมีรายได้มากกว่าคุณ และตอนนี้คุณก็ใช้ชีวิตอย่างสบายโดยการช่วยเหลือด้านการเงินจากคู่สมรสของคุณ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีค่ะ แต่ความสัมพันธ์ของคุณกับคู่สมรส ต้องเป็นความสัมพันธ์ที่ราบรื่นและมั่นคงนะคะ ไม่เช่นนั้นปัญหาอาจจะตามมาได้ค่ะ
หากสมมติว่าคุณเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว และคุณให้เงินช่วยเหลือคู่ครองของคุณเพราะเขาหรือเธอ ไม่ได้มีรายได้เพียงพอที่จะจ่ายค่าต่าง ๆ ได้ จากนั้นจู่ ๆ คุณก็ตกงานและรายได้ของคู่คุณก็มีไม่เพียงพออีกต่อไป มันก็อาจจะทำให้คุณรู้สึกไม่พอใจได้ แล้วคุณคิดหรือยังว่าจะรับมือกับสิ่งนี้ได้อย่างไร? นี่คือความไม่สมดุลทางการเงิน ที่มีแนวโน้มที่จะกระตุ้นการหย่าร้างได้

2. ทำให้คุ้นเคยกับอิสรภาพทางการเงินมากขึ้นกว่าเดิม

คนหนุ่มสาวในปัจจุบันแต่งงานล่าช้ากว่าที่เคย อายุเฉลี่ยของคนหนุ่มสาวในการแต่งงานในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่อายุประมาณ 27 ปี ซึ่งหมายความว่าหลายคนมีอิสระทางการเงินถึง 6 ปี หรือมากกว่านั้นก่อนจะแต่งงาน ทั้งนี้การที่คุณมีอิสระทางการเงินถึง 6 ปีหรือมากกว่านั้น ทำให้คุณมีนิสัยการใช้จ่ายเงินที่เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งยากที่นิสัยทางการเงินเหล่านี้จะเปลี่ยนไปเมื่อคุณแต่งงานค่ะ
และน่าเสียดายที่นิสัยทางการเงินเหล่านี้มักทำให้ชีวิตคู่รักต้องเกิดการขัดแย้ง โดยเฉพาะในเรื่องของการประหยัดเงิน นอกจากนี้ เกือบครึ่งหนึ่งของคู่สมรสทั้งหมด มักจะไม่เห็นด้วยกับจำนวนเงินที่อีกฝ่ายต้องการใช้หลังเกษียณอายุ

3. ส่งเสริมนิสัยการใช้จ่ายที่ดี

คู่รักที่ต่างฝ่ายต่างจัดการเรื่องการเงินของตัวเอง จะมีแนวโน้มว่ามีวินัยที่ดีกว่าเกี่ยวกับการชำระหนี้สิน และนั่นส่งผลให้ความสัมพัน์ของคุณกับคู่รักเป็นไปอย่างราบรื่น แต่หากว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้ว่าอีกฝ่ายมีสถานะทางการเงินที่ดี และสามารถต่อกรกับทุกความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ทำให้เขาปล่อยปละละเลยและไม่มีวินัยในเรื่องการใช้เงินได้ ซึ่งนั่นเป็นต้นเหตุของปัญหาใหญ่ระหว่างคู่รัก ที่อาจจะส่งผลเสียไปจนถึงขั้นเลิกรากันในท้ายที่สุด ดังนั้น การแยกกระเป๋าเงินของกันและกัน และไม่เปิดเผยสถานะการเงินของคุณทั้งคู่ให้อีกฝ่ายรู้ จะเป็นการดีกว่า

4. ช่วยลดความเครียดเกี่ยวกับภาระเรื่องเงินในครอบครัว

เมื่อคู่รักฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ที่ต้องจัดการเรื่องการเงินภายในบ้านทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว นั่นอาจจะทำให้เกิดความเครียดต่อฝ่ายนั้น เนื่องจากมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบอยู่ฝ่ายเดียวมากเกินไป ซึ่งมันอาจจะทำลายความสัมพันธ์ของคุณทั้งสองให้พังทลายลงไปได้เลย เพราะความไม่สมดุลและไม่เท่าเทียมกัน แต่หากทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างจัดการการเงินของตัวเอง และร่วมกันรับผิดชอบในส่วนของค่าใช้จ่ายส่วนรวม ก็จะทำให้เกิดความเสมอภาคกันในครอบครัว และลดความตึงเครียดเรื่องการเงินไปได้เป็นอย่างมาก

5. การเงินของคุณจะไม่พังทลาย เมื่อคุณเลิกรากัน

เมื่อต่างฝ่ายต่างจัดการการเงินของตัวเอง และรับผิดชอบร่วมเฉพาะส่วนเป็นเป็นค่าใช้จ่ายส่วนรวม เมื่อคุณทั้งคู่ตัดสินใจที่จะแยกทางกัน สถานะการเงินของคุณจะยังคงอยุ่ในสภาพที่ดี ไม่พังทลายลงไปเหมือนกับความสัมพันธ์ของคุณทั้งคู่ และไม่เกิดการทวงบุญคุณกันตามหลังหลังจากเลิกกันไป หากว่าระหว่างที่คุณยังรักกันดี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมักจะดูแลอีกฝ่ายมากกว่า เช่น การออกเงินไปเที่ยวต่างจังหวัดให้ หรือมักจะรับผิดชอบบิลค่าบริการต่าง ๆ อยู่ฝ่ายเดียวเสมอ เป็นต้น
และหากคุณอยากรับข้อมูลและข่าวสารเกี่ยวกับรถยนต์ การเงิน สินเชื่อ บัตรเครดิต และประกันรถยนต์ ก็สามารถกด Subscribe เพื่อรับสาระความรู้แบบนี้จาก MoneyGuru.co.th ได้เลยค่ะ เราจะส่งตรงถึงอีเมลของคุณทุก ๆ สัปดาห์ ขอบคุณข้อมูล จาก :MoneyGuru.co.th