ก้าวสู่ปีที่ 9 “ ออริจิ้น ” ทุ่ม 100 ล้าน สะท้อนตัวตน My Life. My Origin ชีวิตในฝัน...แบบที่เป็นคุณ ผ่านพรีเซ็นตอร์คนใหม่ “ณเดชน์” ซูเปอร์สตาร์แถวหน้าของเมืองไทย
ก้าวสู่ปีที่ 9 “ออริจิ้น” ทุ่ม 100 ล้าน สะท้อนตัวตน My Life. My Origin ชีวิตในฝัน...แบบที่เป็นคุณ ผ่านพรีเซ็นตอร์คนใหม่ "ณเดชน์" ซูเปอร์สตาร์แถวหน้าของเมืองไทย
ถือว่ามาไกลมากจากจุดเริ่มต้น สำหรับ “ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” ค่ายผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รุ่นใหม่ ภายใต้การนำของ พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ที่กล้าพูดออกมาเต็มปากว่า เริ่มต้นจากศูนย์กว่าจะมาถึงจุดนี้
ถึงปัจจุบัน ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กลายเป็นบริษัทมหาชนที่มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย
1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วกว่า 35 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 30,000 ล้านบาท
2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก
3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่มีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
ด้วยคาแร็คเตอร์แบรนด์ที่ให้ความรู้สึก “เป็นมิตร เชื่อถือได้ และเต็มไปด้วยความสร้างสรรค์” (Friendly, Dependable, Creative, Inventive) ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ออริจิ้นสร้างอาณาจักรธุรกิจ บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า “สร้างสรรค์รูปแบบชีวิตในฝันที่เป็นจริงได้ ด้วยเรื่องราวสะท้อนความเป็นคุณ” เพื่อให้คนทั่วไปได้ครอบครองคอนโดมิเนียมเป็นของตัวเอง ในราคาที่เข้าถึงได้ โดยได้รับการตกแต่งและมีฟังก์ชั่น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ดั้งเดิมของเขา
นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2552 บริษัทเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง สร้างแบรนด์จนเป็นที่จดจำผ่านโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), และเคนซิงตัน (Kensington) ก้าวผ่านเหตุการณ์สำคัญใหม่ๆ ทุกปี อาทิ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การมียอดขายทะลุ 1 หมื่นล้านบาท” พีระพงศ์ หัวเรือใหญ่แห่งออริจิ้นเกริ่นถึงองค์ประกอบความสำเร็จตลอด 8 ปี
จากความสามารถในการสร้างยอดขายได้มากกว่า 90% รวมถึงการรุกทำเลในโซนใหม่ๆ เป็นเครื่องรับประกันได้เป็นอย่างดีในการใช้กลยุทธ์ Blue Ocean in Virgin Area ของออริจิ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเลือกที่ดินในทำเลที่ไม่สูงมาก เพื่อสามารถตั้งราคาในระดับ 1-2 ล้านบาทได้ เน้นที่ดินตามส่วนต่อขยายคมนาคมรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ เป็นสำคัญ และใช้หลักค่อยๆ ปรับราคาขายสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามอุปสงค์ (demand) ของลูกค้า จนกว่าตึกจะก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์พร้อมเข้าอยู่
เพราะออริจิ้นต้องการให้ลูกบ้านได้สัมผัสถึงไลฟ์สไตล์ที่คุ้นเคยจากย่านที่พวกเขาเคยชิน นั่นจึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไมจึงมีชื่อแบรนด์ว่า “ออริจิ้น” ซึ่งมีความหมายถึงรากหรือต้นกำเนิด ที่ไม่ซ้ำใคร ไม่ตามใคร จุดเริ่มต้นของชีวิตและเพื่อเป็นการแสดงจุดยืนในฐานะผู้เข้าใจผู้บริโภค ล่าสุดในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 9 ออริจิ้น ตอกย้ำตัวตนของแบรนด์ ผ่านแคมเปญ My Life. My Origin เสริมแกร่งภาพลักษณ์ ผ่าน ณเดชน์ คูกิมิยะ พระเอกแถวหน้าของเมืองไทย ซึ่งมีบุคลิกสอดคล้องกับแบรนด์คอนโดมิเนียมทั้ง 3 แบรนด์ของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในแคมเปญ My Life. My Origin ด้วย
“ณเดชน์ คือคนธรรมดาที่มีสไตล์ คือตัวแทนของคนทั่วไปที่มีทั้งมุมเนี้ยบดูดี มุมเท่ๆ และมุมสบายๆ ไม่ต้องแต่งตัวหรูหรา สะท้อนภาพได้ตั้งแต่คอนโดมิเนียมแบรนด์เท่แบบเรียบหรูอย่างไนท์บริดจ์ แบรนด์ที่มีความทันสมัยหรือโมเดิร์นอย่างนอตติ้ง ฮิลล์ และแบรนด์เท่แบบลุยๆ อย่างเคนซิงตัน นอกจากนี้ยังเป็นคนตั้งใจทำงานเพื่อให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด และอ่อนน้อมถ่อมตนซึ่งตรงกันกับวิธีการทำงานแบบออริจิ้น” พีระพงศ์ เสริมถึงคาแร็คเตอร์ที่มีความสอดคล้องกันระหว่าง “ณเดชน์” และ “ออริจิ้น”
การเปิดตัวแคมเปญ My Life. My Origin นี้ เป็นการประกาศให้เห็นตัวตนดั้งเดิมของออริจิ้น ที่ยังคงผสมผสานความเป็นแบรนด์คอนโดมีระดับ (Premium Condo) ในราคาที่เอื้อมถึง (Affordable) อันเกิดจากการทำงานหนัก (Creator) ของทีมงาน เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยในฝันให้เป็นจริง (Optimistic) ทั้งการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยที่ลงตัว, การออกแบบอาคารที่มีเสน่ห์แตกต่าง, โฮเต็ลเซอร์วิส, การบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และบริการ Digital Butler App เป็นต้น เพื่อให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่มากกว่า…ตลอดจนการส่งเสริมให้เห็นคุณค่าแก่นแท้ของตัวเอง มากกว่าตามกระแสสังคมนิยม และเชื่อว่าทุกคนมีความฝันในแบบฉบับที่ไม่ต้องตามใคร
“เราค้นพบว่า สาเหตุที่ยอดขายตลอด 8 ปีที่ผ่านมาเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเราสามารถเข้าถึงตลาดผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมในแต่ละทำเล ยอดขายหลายๆ โครงการของเราเป็นผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมในทำเลนั้นกว่า 70% สะท้อนว่าความสุขของลูกค้าของเรา คือการได้มีที่อยู่อาศัยในทำเลที่เขาคุ้นเคย ติดรถไฟฟ้า และนี่จึงเป็นที่มาของแคมเปญ My Life. My Origin เราอยากให้ทุกคน ใช้ชีวิตในฝัน…แบบที่เป็นคุณ”
ไม่เพียงการสร้างคาแร็คเตอร์ที่น่าจดจำเท่านั้น ออริจิ้นยังต่างด้วยวิธีคิด โดยที่ผ่านมาคอนโดมิเนียมมักถูกกล่าวถึงในฐานะบ้านหลังที่ 2 ผู้คนมักคิดว่าบ้านหลังที่ 2 ต้องอยู่ในเมือง เพื่อให้ใกล้ที่ทำงานที่สุด แต่สิ่งที่ออริจิ้นภายใต้การบริหารของพีระพงศ์ กลับมองว่า นับจากนี้ไปจะไม่ใช่ยุคคนแห่อยู่ในเมือง เพราะเมื่อโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมอย่างรถไฟฟ้าสามารถกระจายเข้าถึงผู้คนในทุกพื้นที่ ตลาดคอนโดมิเนียมจะกลายเป็นบ้านหลังแรกของคนรุ่นใหม่ที่เกิดจากครอบครัวขยายหรือต้องการอยู่ในแนวรถไฟฟ้าใกล้แหล่งงาน
นั่นก็หมายความว่าเดิมเคยอาศัยอยู่บ้านแนวราบทำเลไหน พอมีครอบครัวเพิ่มเติม ก็ขยายไปอยู่ในคอนโดมิเนียมทำเลใกล้เคียงเดิม เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอยู่ในย่านที่คุ้นเคย ไปหาญาติพี่น้องได้สะดวก เหมือนกับญี่ปุ่นที่ผู้คนไม่ได้คาดหวังว่าต้องดิ้นรนเข้าไปอยู่ในเมือง แต่อาศัยรถไฟฟ้าไปทำงานในแต่ละวัน
“ค่าครองชีพในเมืองจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ราคาคอนโดมิเนียมในเมืองที่ราคา 3-5 ล้านจะไม่ใช่ราคาที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ แถมอีกหน่อยคอนโดมิเนียมในเมืองอาจจะกลายเป็นคอนโดมิเนียมแบบลีสโฮลด์ ที่ผู้ซื้อไม่ได้มีสิทธิ์ขาดตลอดไป ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความฝันของคนทั่วไป เพราะคนทั่วไปยังต้องการมีคอนโดมิเนียมที่ตัวเองมีสิทธิ์ขาด ราคาเข้าถึงได้ มีการตกแต่ง มีฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่พวกเขาคุ้นเคย สิ่งที่เราทำคือส่งมอบประสบการณ์เหล่านี้ให้กับผู้บริโภค” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เผยถึงหัวใจสำคัญในการสร้างสรรค์โครงการที่แตกต่างเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง
นอกจากการดึง ณเดชน์ คูกิมิยะ มาช่วยสะท้อนตัวตนของแบรนด์แล้ว ออริจิ้นยังถือโอกาสนี้เตรียมเปิดตัวโครงการอีก 4 โครงการใหญ่ 4 โครงการ 3 แบรนด์ มูลค่ารวม 8,400 ล้านบาทได้แก่ 1. ไนท์บริดจ์ พหลโยธิน-อินเตอร์เชนจ์ (Knightsbridge Phaholyothin-Interchange) มูลค่า 2,100 ล้านบาท 2.นอตติ้ง ฮิลล์ สกายสแครปเปอร์ @ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ (Notting Hill Skyscraper@Central Rattanathibet) มูลค่า 2,500 ล้านบาท 3.นอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท 105 (Notting Hill Sukhumvit 105) เฟส 2 มูลค่า 1,300 ล้านบาท และ 4.เคนซิงตัน สุขุมวิท- เทพารักษ์ (Kensington Sukhumvit-Theparak) มูลค่า 2,500 ล้านบาท